menu Menu
ทำดีเพื่อเขาหรือเรา?: the Warm Glow Effect
By ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ Posted in เศรษฐศาสตร์ภาษาคน on December 11, 2016 0 Comments 55 words
ถี่ ถูก แม่น หรือแค่ฝัน?: รวม 14 วิธีวัดตัวเลขเศรษฐกิจใหม่ในยุค Big Data Previous ลดภาษีแล้วเศรษฐกิจโตไวขึ้นจริงหรือ? Next

การให้ การทำดี และการช่วยเหลือผู้อื่นนั้นมีอะไรที่น่าคิดมากมาย

ทำไมบางคนที่บริจาคเงินเพื่อการกุศลถึงต้องการเปิดเผยชื่อสลักไว้ให้ผู้อื่นอ่าน

ทำไมเพื่อนบางคนเวลาไปช่วยเหลือผู้อื่นมาแล้วต้องโพสต์รูปบอกทุกคนให้ทราบกันในเฟสบุ๊ค (โดยไม่ได้มีเจตนาจะรณรงค์อะไรใดๆ)

ทำไมบางคนถึงยังชอบช่วยผู้อื่นในรูปแบบที่เราไม่เห็นด้วย หรือไม่ก็ในรูปแบบที่ไม่มีทางก่อให้เกิดผลดีอะไรได้กับสังคมจริง ๆ

คำถามน่าคิดเหล่านี้ล้วนมีต้นตอมาจากว่าครั้งสุดท้ายที่คุณช่วยเหลือผู้อื่น บริจาคเงิน ทำงานเพื่อสังคม หรือให้ของขวัญ คุณจำได้ไหมว่าคุณทำไปเพราะอะไร

เนื่องในโอกาสวันคริสต์มาส ซึ่งในปัจจุบันถือเป็น “เทศกาลแห่งการให้” ในหลายสังคมบนโลก บทความนี้จะชวนผู้อ่านไปขบคิดถึงพฤติกรรมการให้และการช่วยผู้อื่นจากมุมมองเศรษฐศาสตร์กันครับ

ช่วยเขาเพราะเรา?

jatusri_article32_featured

ปริศนาหนึ่งที่เคยทำให้นักเศรษฐศาสตร์ปวดหัวกันถ้วนหน้าคือ หากคนเรามีความเห็นแก่ตัวและมุ่งหวังผลประโยชน์แก่ตนเองแบบเดียวกับในโมเดลเศรษฐศาสตร์พื้นฐานทั่วไป  ทำไมในโลกแห่งความเป็นจริงเราถึงได้พบเห็นการเสียสละเพื่อผู้อื่นแทบทุกวี่วัน

ในปีค.ศ. 2015 ชาวอเมริกัน (แม้ว่าจะถูกชาวโลกประนามว่าเป็นชาติที่เอาแต่ได้) บริจาคเงินรวมแล้วเกือบเท่า GDP ไทย  จากการจัดอันดับ World Giving Index โดย Gallup World Poll ที่สำรวจพฤติกรรมการให้หรือการช่วยเหลือเพื่อนร่วมสังคม พวกเขาติดอันดับหนึ่งหรือสองพอฟัดพอเหวี่ยงกับชาวพม่าเพื่อนบ้านของเราเองมาตลอด  (ส่วนไทยเราอยู่อันดับที่ 19)  ที่น่าสนใจคือกลุ่มประเทศที่ใจบุญที่สุดนั้นมีทั้งประเทศที่ร่ำรวยที่สุดและประเทศที่ยากจนที่สุดปนกันอยู่

การให้ที่เต็มใจเหล่านี้แตกต่างจากการทำเพื่อสังคมในรูปแบบอื่น เช่น การชำระภาษี เนื่องจากคุณไม่ได้ถูกบังคับ  มันเป็นการตัดสินใจของคุณล้วน ๆ

จึงเกิดคำถามที่น่าสนใจว่า  อะไรคือสิ่งที่คอยโน้มน้าวจิตใจคนเราให้คอยช่วยเหลือผู้อื่นทั้ง ๆ ที่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการเอาตัวเองให้รอดเป็นอันดับแรก

บ่อเกิดของความรู้สึกต้องการช่วยเหลือหรือการให้กับผู้อื่นคือบรรทัดฐานทางสังคม (Social Norms) ที่คอยตีกรอบไม่ให้เรานอกรีตให้ทำตามทำเนียม  คือการใส่ใจผู้อื่นเพื่อเอาตัวรอด (Audience Effect) ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นระหว่างมนุษย์เราวิวัฒนาการ  คือจริยธรรม (Ethics) ที่พ่อแม่หรือศาสนาพร่ำสอนเราแต่เล็ก หรือ คือความรู้สึกเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่นเป็นที่ตั้งสำคัญล้วน ๆ ( Pure Altruism)

ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ทั้งสิ้น  แต่มีอยู่หนึ่งคำอธิบายที่ผมคิดว่ามีความน่าสนใจ  มีนัยต่อการรณรงค์ให้เกิดการให้เพิ่มมากขึ้นในสังคม และได้ถูกค้นพบในการทดลองแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

นั่นก็คือ  คนเราช่วยเหลือผู้อื่นเพราะว่าตัวเราเองรู้สึกดีไปกับ “การให้โดยเรา” ไม่ใช่แค่ช่วยเพียงเพราะว่าเขากำลังได้ประโยชน์   

นักเศรษฐศาสตร์ James Andreoni  ตั้งชื่อความรู้สึกนี้ว่า “Warm Glow” หรือแปลเป็นไทยง่าย ๆ ว่า “ความรู้สึกดี ๆ  อุ่น ๆ ในใจ”  ซึ่งผมคิดว่าหลายคนที่เคยช่วยผู้อื่นน่าจะเคยรู้สึกถึงมันไม่มากก็น้อยกันทั้งนั้น

ผลงานของAndreoni ชี้ว่าคนส่วนมากไม่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นหรือ “ทำดี” เพียงเพราะว่าเรามีใจเป็นแม่พระหรือหวังดีล้วน ๆ  แต่เป็นการช่วยผู้อื่นเพราะเราแคร์ทั้งเขา (ต้องการให้เขาสบายขึ้น) และแคร์ทั้งเรา (รู้สึกดีในหัวใจเรา)  ไม่ว่าจะเป็นเพราะเรารู้สึกดีกับตัวเราแบบบอกไม่ถูก  ภูมิใจในตนเอง หรือเพียงแค่รู้สึกว่าเราเหนือกว่าคนอื่นแบบพวกอีโก้สูง

ทราบได้อย่างไรว่าคนเรามี Warm Glow

Andreoni ตั้งสมมุติฐานว่าการให้นั้นอาจไม่ต่างจากกิจกรรมอื่น ๆ ที่เราได้รับความสุขจากมัน  ไม่ต่างจากการที่คุณไปดูภาพยนต์หรือไปเที่ยวขนาดนั้น  คุณเองก็ได้รับความสุขจากกิจกรรมที่ชื่อว่า “การให้” เหมือนกัน จุดสำคัญคือหากมี Warm Glow Effect จริง  เราจะได้รับความสุขจากการให้ในส่วนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประโยชน์ที่ผู้อื่นได้รับเลยสักนิดเดียวด้วย

จากการทดลองแบบ double-anonymous ที่โด่งดังโดย Crumpler กับ Grossman พบว่ากว่า 57% ของผู้รับการทดลองเลือกที่จะบริจาคเงินเข้ามูลนิธิทั้ง ๆ ที่ทราบเงื่อนไขของการทดลองดีว่าหากเขาบริจาคเงิน X บาท มูลนิธินั้นจะถูกตัดงบบริจาคไปจำนวน X บาทเท่ากัน ซึ่งเป็น perfect cancellation ไม่มีผลใด ๆ กับมูลนิธินั้น   นอกจากจะมีคนจำนวนมากยังตัดสินใจบริจาคแล้ว  ยังบริจาคราว 20% ของเงินทุน (ถือว่ามากพอสมควร) ที่ผู้ทำการทดลองให้ไว้ฟรี ๆ อีกด้วย

อีกการทดลองที่น่าสนใจคือการให้ผู้เข้าทดลองเลือกระหว่าง 1) ทำงานพับกระดาษใส่ซองจดหมายเพื่อมูลนิธิสร้างโรงเรียนในยูกานดา หรือ 2) ทำงานพับกระดาษใส่ซองจดหมายเพื่อแลกกับเงินตอบแทนจากคลินิกจักษุแพทย์แห่งหนึ่ง  หากมูลค่าของแรงงานในการพับกระดาษและใส่ซองให้กับมูลนิธินั้นต่ำกว่าค่าจ้างจากการทำงานในทางเลือกที่สอง (ที่สามารถเอาไปบริจาคให้กับมูลนิธิได้ทีหลัง)  ผู้เข้าทดลองที่หวังดีต่อมูลนิธิจริง ๆ (pure altruism) จะต้องไม่เลือกทางเลือกแรก   ผลปรากฏว่าผู้เข้าทดลองส่วนมากไม่ได้แสดง pure altruism เท่านั้นแต่แสดง warm glow ด้วยโดยการเลือกทางเลือกที่แรกซึ่งเป็นทางเลือกที่ไร้ “ประสิทธิภาพในการให้” กว่า

มี Warm Glow แล้วยังไง

ผมคิดว่าโดยรวมแล้วการช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว ไม่ว่า warm glow ของคุณจะเกิดขึ้นจากเหตุผลใด ๆ ก็ตาม

เพราะฉะนั้นจะว่า warm glow เป็นความรู้สึกที่น่าอับอายก็คงไม่ถูกต้องเสมอไป  เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่การที่คนส่วนมากไม่ได้เกิดมาเป็นแม่พระผู้ใจดีแต่เกิดมาเป็นคนธรรมดาที่บางทีก็ช่วยผู้อื่นเพราะตัวเองรู้สึกดีนั้นมันก็มีข้อดีแบบบังเอิญ ๆ เหมือนกัน

ข้อดีข้อแรกคือมันเป็นการสร้างแรงจูงใจที่ทำให้ทุกคนได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นทุกฝ่าย (Pareto Improvement) เมื่อคุณช่วยเขา  เขาได้ประโยชน์  คุณเองก็ได้ประโยชน์  ทุกคนล้วนยืนอยู่ในความเป็นจริงที่ดีขึ้นกว่าก่อนที่คุณจะตัดสินใจช่วยเขา

ข้อดีข้อที่สองคือ ถึงแม้ว่าปรากฏการณ์ warm glow อาจก่อให้เกิดการให้ที่ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร (ทำดีเพียงเพราะภาพพจน์หรือทำดีโดยไม่ได้คิดอะไรมาก)  มันสามารถทำให้เกิดประโยชน์กับสังคมได้ในบางกรณีซึ่งหากไม่มี warm glow แล้วจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยได้เหมือนกัน   ยกตัวอย่าง เช่น โปรเจ็คระดมทุนเพื่อการกุศลบางทีจะต้องมี “เงินบริจาคขั้นต่ำ” ซึ่งหากไม่มากพอโปรเจ็คจะไม่เกิด  (เช่น การระดมทุนเพื่อซื้อเครื่องมือการแพทย์ที่แพงสุด ๆ )  หาก ROI ของการทำบุญครั้งนี้ (สมมุติว่าแปลงออกมาเป็นเงินได้) ต่ำกว่า ROI ทางการเงินจากการเอาเงินไปลงทุนที่อื่นแบบเฉียดฉิว คงเป็นเรื่องน่าเสียดายที่โปรเจ็คแบบนี้จะไม่เกิดขึ้น  ในทางกลับกัน หากมีความรู้สึกอุ่น ๆ ในหัวใจ เข้ามาพัวพันกับ “สมการของการให้” เพียงแค่นิดเดียว โปรเจ็คที่ ROI กุศลไม่มากพอจะยังพอมีโอกาสเกิดขึ้นได้

บทเรียนที่ผมได้จากการค้นคว้าเกี่ยวกับ warm glow ไม่ใช่ว่าให้เรารู้สึกอับอายในความเห็นแก่ตัวทุกครั้งที่รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเวลาช่วยผู้อื่น  แต่ให้เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องปกติมนุษย์ทั่วไป และว่ามันมีส่วนสำคัญในการกำหนดว่าสังคมเราจะมีการให้และการทำความดีเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหนอีกด้วยครับ

ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ เศรษฐศาสตร์


Previous Next

Leave a Reply

Your email address will not be published.

Cancel Post Comment

keyboard_arrow_up