menu Menu
ลดภาษีแล้วเศรษฐกิจโตไวขึ้นจริงหรือ?
By ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ Posted in Global Economy, เศรษฐศาสตร์ภาษาคน on December 10, 2016 0 Comments 22 words
ทำดีเพื่อเขาหรือเรา?: the Warm Glow Effect Previous ความพิศวงของการตัดสินใจร่วมกันของมนุษย์ Next

ในช่วงหนึ่งอาทิตย์หลังการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา  ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สามารถดีดตัวขึ้นมาได้อย่างเหนือความคาดหมายเนื่องจากนักลงทุนต่างมองว่าชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ และพรรครีพับลิกันซึ่งคุมได้ทั้งสภาคองเกรสและวุฒิสภานั้นจะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เป็นหนึ่งเดียวขึ้น ไม่มีการขัดขากันเหมือนสมัยโอบามา  คิดจะทำนโยบายอะไรก็จะลื่นไหลกว่า

หนึ่งในนโยบายที่มีโอกาสเกิดขึ้นสูงคือการหั่นภาษียกใหญ่

โดยตัวมันเองแล้วการลดภาษีเป็นนโยบายที่ใคร ๆ ก็น่าจะต้องชื่นชอบ เนื่องจากมันทำให้เรามีเงินในกระเป๋าสตางค์มากกว่าเดิม  แต่จากมุมมองที่กว้างกว่าแค่กระเป๋าสตางค์ของเรานั้นผลลัพธ์ของมันต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมกลับเข้าใจได้ไม่ง่ายนักและมักไม่ขาวดำเหมือนอย่างในตำราเศรษฐศาสตร์ระดับพื้นฐานทั่วไป

สหรัฐฯ เป็นประเทศที่เคยมีการปฏิรูปนโยบายภาษีครั้งใหญ่ ๆ (ทั้งเพิ่มและลด) มาแล้วนักต่อนัก แต่กลับไม่มีผลลัพธ์ที่เด่นชัดต่ออัตราขยายตัวของ GDP ในระยะยาวเลย

บทความนี้จะนำเสนอแนวคิดเชิงทฤษฎีและผลวิจัยเกี่ยวกับผลของการลดภาษีต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในอดีตครับ

กินหวานแล้วค่อยกินเปรี้ยว

โบราณเขาว่าให้เราอดเปรี้ยวไว้กินหวาน  แต่ผลวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ชี้ว่าการลดภาษีนั้นเปรียบเสมือนกับการกินหวานแล้วค่อยกินเปรี้ยว (หรืออดกิน) เนื่องจากมันสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้นแต่มักไม่มีผลหรือส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจในระยะยาวเนื่องจากเป็นการเพิ่มการขาดดุลการคลัง

ในมุมมองหนึ่งการลดภาษีเป็นการเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้เล่นทำงานและลงทุนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากพวกเขาจะไม่ต้องแบ่ง “รางวัล” จากการกระทำเหล่านี้ให้กับรัฐบาลมากเท่าเดิม  เงินที่เคยกองอยู่อาจถูกนำออกมาหมุนเพิ่มขึ้น  ชั่วโมงพักผ่อนอาจถูกเปลี่ยนไปเป็นชั่วโมงทำงานมากขึ้น  นี่คือมุมมองที่คนส่วนมากใช้เป็นเหตุผลในการสนับสนุนนโยบายลดภาษีว่ามันจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้

แต่ในอีกมุมมองหนึ่ง การลดภาษีก็เป็นการลดแรงจูงใจให้ผู้เล่นทำงานและลงทุนได้เหมือนกัน  เหตุเป็นเพราะว่าการลดภาษีเป็นการเพิ่มรายได้หลังหักภาษีแบบทันทีทันใด “ความรวยขึ้นแบบกระทันหัน”  นี้จึงเป็นการลดแรงจูงใจให้ผู้เล่นขยันขันแข็ง   ลองจินตนาการถึงกรณีการเพิ่มรายได้แบบสุดโต่งจากการที่คุณถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งดูก็ได้ครับ  หลังจากที่คุณทราบข่าวดีแล้วคุณคงไม่คิดจะออกไปทำงานจำนวนชั่วโมงเท่าเดิมใช่ไหมครับ

สองมุมมองนี้เป็นไปได้ทั้งนั้น   คำถามคือแล้วที่ผ่าน ๆ มานั้นมุมมองไหนถูก

ในระยะยาว งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าการลดภาษีไม่ได้ทำให้คนออกมาทำงานกันมากขึ้นและไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ไวขึ้น  (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nber.org/chapters/c10943.pdf  และ https://www.aei.org/wp-content/uploads/2013/12/-tax-policy-lessons-from-the-2000s-chapter-34_114619105718.pdf)  แม้กระทั่งการลดภาษีกำไรจากการขายทรัพย์สิน (capital gain tax) ที่เป็นจุดเด่นของการลดภาษีสไตล์รีพับลิกันเมื่อปี 2003 ก็ไม่พบว่าสามารถกระตุ้นการลงทุนได้แต่อย่างใด

แต่ในระยะสั้นนั้น พบว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีที่ไม่มีจุดประสงค์เกี่ยวกับความต้องการในการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นสามารถมีผลกระทบจริงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจแบบชั่วคราว ทั้งนี้มีข้อแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีที่มีผลในระยะสั้นนี้จะต้องเป็น “shock” ที่ไม่เกี่ยวกับสภานะการณ์ทางเศรษฐกิจขณะนั้น  การตั้งใจลดภาษีเพื่อเข็นเศรษฐกิจที่กำลังแผ่วแรงอยู่ให้เร่งเครื่องขึ้นมาใหม่นั้นไม่ถือว่าอยู่ในกรอบนี้

สำคัญไม่แพ้กันคือลดภาษีเพื่อใคร

การลดภาษีสไตล์พรรครีพับลิกันที่มีโอกาสเกิดขึ้นสูงนั้นมักจะเป็นการช่วยชนชั้นนำมากกว่าการช่วยคนทั่วไป (ซึ่งขัดกับสิ่งที่ทรัมป์สัญญาไว้กับฐานเสียงของเขา!)

น่าเสียดายเนื่องจากการลดภาษีเพื่อคนรวยนอกจากจะทำให้ความเหลื่อมล้ำยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้นแล้ว การเพิ่มรายได้หลังภาษีให้กับคนรวยนั้นก็ไม่ “คุ้ม” เท่ากับการลดภาษีให้กับคนทั่วไปด้วย   นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาใกล้ขีดสุดของการใช้จ่าย  เมื่อเทียบกับคนทั่วไปแล้วเงินที่เพิ่มมากขึ้นจะไหลออกจะพวกเขายากขึ้น  ประมาณว่าคนเราจะซื้อเรือยอร์จหรือเครื่องบินส่วนตัวเพิ่มขึ้นได้อีกสักกี่ลำหากเราร่ำรวยล้นฟ้ามีทุกอย่างที่ต้องการอยู่แล้ว   จุดนี้จึงอาจเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการวิเคราะห์ข้อมูลภาษีตั้งแต่ปี 1945 ถึง 2010 โดย Hungerford ไม่พบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการขยายตัวของเศรษฐกิจกับการลดภาษีคนรวยจาก 90% เมื่อช่วงปี 1950 ลงมาเหลือแค่ 35%  ทุกวันนี้

สรุป

การลดภาษีในบางรูปแบบในสหรัฐฯ สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ชั่วคราว แต่ไม่การันตีว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาวโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการลดภาษีนั้นเป็นการช่วยคนรวยมากกว่าคนทั่วไป

หากทรัมป์ต้องการพิสูจน์ว่าผู้ที่โจมตีเขาผิด การลดภาษีครั้งที่กำลังจะมาถึงนี้จะต้องไม่ลำเอียงให้กับคนรวยเกินไป และจะต้องเป็นการสร้างแรงจูงใจให้เกิดพฤติกรรมเศรษฐกิจใหม่ ๆ (เช่น ออกไปทำงานเพิ่ม ไม่ใช่เป็นแค่ “การถูกรางวัลแบบกระทันหัน”)

หากการลดภาษีเป็นเพียงนโยบายที่หวังช่วยเหลือชนชั้นนำ  สิ่งที่นักลงทุนควรจับตามองที่สุดคือทรัมป์จะใช้จ่ายอย่างไรเพื่อให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ “โตหนีหนี้”  ที่กำลังจะทวีคูณขึ้น

อย่างที่ผมได้เขียนสรุปไว้ในบทความครั้งก่อนเกี่ยวกับหนี้รัฐบาล  หนี้รัฐบาลจะอันตรายก็ต่อเมื่อความสามารถในการชำระหนี้นั้นต่ำ  ซึ่งสหรัฐฯ จะโตหนีหนี้ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเครดิตของสหรัฐฯ ในสายตาผู้ให้กู้ และ ความเป็นไปได้ที่การใช้จ่ายรัฐบาลจะนำไปสู่การพัฒนาของผลิตภาพของเศรษฐกิจ

ผู้อ่านคิดว่าการใช้จ่ายของรัฐบาลทรัมป์จะทำให้สหรัฐฯ โตหนีหนี้ได้จริงหรือไม่ครับ?

ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ ภาษี เศรษฐกิจ


Previous Next

Leave a Reply

Your email address will not be published.

Cancel Post Comment

keyboard_arrow_up