เมื่อประเทศที่รักสงบมากที่สุดประเทศหนึ่งอย่างสวิตเซอร์แลนด์ได้ยกเลิกการผูกค่าเงินฟรังก์สวิสกับยูโรและยอมให้เซ็กเตอร์ส่งออกของตัวเองรับกรรมจากค่าเงินที่แข็งขึ้นเกิน 20% ภายในวันเดียวมันส่อให้เห็นถึงความน่าวิตกของตลาดการเงินโลก
บทความนี้จะอธิบายความเคลื่อนไหวครั้งนี้แบบอ่านง่ายๆ ว่า 1. ทบทวนว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง 2. ทำไมธนาคารกลางจึงตัดสินใจเช่นนั้น 3. แล้วทั้งหมดนี้แปลว่าอะไร เชิญอ่านครับ
เมื่อวันที่ 15 เดือนมกราคมปีนี้ ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ช๊อคตลาดโลกด้วยการยกเลิกการตรึงค่าเงินกับเงินยูโรและลดดอกเบี้ยลงมาที่ -0.75% ซึ่งแปลว่าธนาคารที่ต้องการจะเอาเงินไปฝากกับธนาคารกลางจะต้องเสียดอกเบี้ย
ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีใครคาดไว้และดูฉุกละหุกชอบกล ความแตกตื่นจึงทำให้ค่าเงินฟรังก์สวิสแข็งค่าขึ้นเกินกว่า 30% ภายในไม่กี่นาที (ซึ่งถือว่าเป็น movement ที่เหวี่ยงรุนแรงมาก) และถึงแม้อัตราแรกเปลี่ยนระหว่างฟรังก์สวิสกับยูโรจะเริ่มปรับตัวหลังจากการช๊อคของตลาดแล้วก็ตามอัตราขณะนี้ที่ราวๆ 0.9884 ยูโรต่อหนึ่งฟรังก์สวิสนั้นยังถือว่าค่าเงินฟรังก์สวิสยังแข็งมากๆ เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน
จะเข้าใจทั้งหมดนี้ได้คงต้องย้อนกลับไปในช่วงวิกฤตยูโรเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เมื่อตอนนั้นหลายประเทศในกลุ่มยูโรดูท่าไม่ดี (ตอนนี้ก็ยังไม่ดี…) กองทุนและนักลงทุนจำนวนมากมองว่าสวิตเซอร์แลนด์มีสถาบันการเงินที่เข้มแข็งและดูปลอดภัยกว่า จึงแห่กันเอาเงินไปจอดไว้ คิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะได้เงินคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ไม่ต้องการจะถือยูโรในสมัยนั้น การที่เราจะเอาเงินไปจอดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้ก็ต้องขายยูโรซื้อฟรังก์สวิส เมื่อมีความต้องการมากๆ ราคาของฟรังก์สวิสก็สูงขึ้นตามธรรมชาติ (หรือที่เรียกกันว่า “ค่าเงินแข็งค่าขึ้น” นั่นเอง)
ทั้งนี้ทั้งนั้น สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่พึ่งพิงการส่งออกมาก จากกราฟด้านบนจะเห็นได้ว่าการส่งออกของสวิตเซอร์แลนด์มีขนาดใหญ่มากกว่า 70% ของ GDP ซึ่งพอๆ กับประเทศไทยเลยทีเดียว เราคนไทยคงเข้าใจความรู้สึกของประเทศที่เน้นส่งออกแล้วอยู่ดีๆ ค่าเงินแข็งขึ้นเรื่อยๆ อย่างควบคุมไม่ได้ สินค้าส่งออกของสวิตเซอร์แลนด์อยู่ดีๆ ก็เลยมีราคาแพงขึ้นโดยใช่เหตุ…ถือเป็นการถดถอยของความสามารถในการแข่งขันแบบฉับพลัน
ในเดือนกันยายนของปีค.ศ. 2011 ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์จึงเริ่มใช้มาตราการปิดฝา ใส่ cap ไม่ให้ฟรังก์สวิสแข็งค่าขึ้นไปกว่าลิมิตที่ตนตั้งไว้ โดยประกาศว่าจะพิมพ์เงินฟรังก์สวิสไปแบบไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อเอาไปแลกซื้อเงินสกุลต่างชาติ หวังว่าจะเป็นการตรึงไม่ให้ค่าเงินตัวเองแข็งขึ้นไปอีก
การตรึงค่าเงินของธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์นั้นประสบความสำเร็จในแง่ที่ว่าสามารถตรึงค่าเงินไว้ได้ แต่การประกาศสงคราม “สู้ตลาด” ของธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์นั้นทำให้ธนาคารกลางจำเป็นต้องรักษาคำสัญญาและซื้อเงินสกุลต่างประเทศมาเก็บไว้จำนวนไม่อั้น ล่าสุดมีรายงานว่าเงินสกุลต่างประเทศนั้นมีมากกว่า 75% ของ GDP เลยทีเดียว (บางที่บอก 85%) การมีเงินสกุลต่างประเทศเก็บไว้มากเกินไปนั้นก็มีความเสี่ยงเพราะว่ามูลค่าสามารถเหวี่ยงขึ้นลงได้เร็วมากๆ ซึ่งทั้งหมดนี้คล้ายแต่ต่างกับในกรณีธนาคารกลางอเมริกาที่ปั๊มเงินแลกซื้อกับตราสารหนี้ตัวเองที่ยังไงๆ ก็จะได้คืนในภายหลังเมื่อถึง maturity ไม่ดูเสี่ยงเท่าที่ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์เริ่มทำเมื่อท้ายปี 2011 นี่จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำไมอยู่ดีๆ ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ถึงหยุดการตรึงค่าเงินฟรังก์สวิสเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อธนาคารกลางยุโรป ECB จะประกาศมาตรการ QE ของตนในอีกไม่กี่วันนี้
ผลกระทบของการตัดสินใจของธนาคารกลางนั้นทำให้เริ่มมีกองทุนบางแห่งตกอยู่ในภาวะลำบาก เช่น บริษัทโบรกเกอร์ FX ชื่อ Alpari ในประเทศอังกฤษ ยักใหญ่อย่าง Citigroup หรือ Barclays เองก็มีข่าวว่าโดนไปไม่ใช่น้อย ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่ารวมๆ กันแล้วการเลิกตรึงค่าเงินครั้งนี้น่าจะมีคนเสียไปในหลักพันล้านดอลล่าร์
คำถามที่น่าสนใจกว่าคือสงครามไหน? เพราะในภาวะเศรษฐกิจโลกตอนนี้ไม่ได้มีแค่สงครามค่าเงิน
มองไปทางซ้ายมีสงครามกับภาวะเงินฝืด มองไปทางขวามีสงครามค่าเงินที่กำลังจะระอุขึ้น
แต่ไม่ว่าจะทำสงครามไหน ทำไมอยู่ดีๆ ธนาคารกลางถึงจะล้มเลิกสิ่งที่ตัวเองสัญญาไว้กับนักลงทุนทั่วโลก มันช่างน่าสงสัยเพราะว่าในทางเทคนิคแล้วหลายฝ่ายคิดว่ามันไม่ได้มีลิมิตในเรื่องของ balance sheet ของธนาคารกลางขนาดนั้น (อาจจะต้องไปค้นดูกฎหมายธนาคารกลางของแต่ละประเทศ) จริงอยู่การพิมพ์เงินฟรังก์สวิสเพื่อซื้อเงินสกุลต่างประเทศในจำนวนไม่อั้นนั้นมีโอกาสทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อได้ โดยเฉพาะเศรษฐกิจขนาดเล็กอย่างสวิตเซอร์แลนด์ แต่ตอนนี้ไม่เห็นมีวี่แววเงินเฟ้อเลยสักนิดเดียว price level ในสวิตเซอร์แลนด์ก็ร่วงไป 0.3% เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ภาพรวมมีแต่จะเป็นภาวะเงินฝืดกับภาวะเศรษฐกิจหอยทากกันทั้งนั้น ที่เคยประกาศไปว่าจะสู้กับเงินฝืดเต็มที่เมื่อสามปีก่อนคงเป็นแค่ลมปาก
การไปยกเลิกการตรึงค่าเงินและยอมให้ภาคการส่งออกตัวเองแบกรับผลกระทบไปเต็มๆ คงแปลว่าธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์กลัวโดนลูกหลงจากสงครามค่าเงินมากกว่ากว่าภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหรือภาวะเงินฝืดเสียอีก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อ ECB จะออกมาตรการ QE ของตนในอีกไม่กี่วันนี้ ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์คงจะเกรงว่าจะมีเงินยูโรออกมามากล้นตลาดและตัวเองจะต้องดูดซื้อเงินขยะนี้เข้ามากินเองอีกมากมายก่ายกองเป็นแน่ๆ หากยังคงตรึงค่าเงินไว้
น่าตกใจที่ประเทศที่รักสงบสุดๆ อย่างสวิตเซอร์แลนด์กลับตกเป็นเหยื่อรายแรกๆ ของภาวะการเงินโลกปั่นป่วนทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดเลย….
แท้จริงคือเรากำลังอยู่ในโลกที่การเคลื่อนไหวของตลาดการเงินนั้นซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นโลกที่นโยบายการเงินและนโยบายเศรษฐกิจสามารถแปลงโฉมเป็น “ขีปนาอาวุธ” ชั้นเยี่ยมในการรักษาเศรษฐกิจของตัวเองและส่งกระแสออกไปรบกวนกัดกินความมั่นคงของเศรษฐกิจอื่นๆ ได้ด้วยในเวลาเดียวกัน (ผู้อ่านท่านไหนสนใจเรื่องนี้ settakid.com เคยเขียนเกี่ยวกับการแลกหมัดเงินร้อนระหว่างจีนกับสหรัฐฯไว้แล้ว ณ ที่นี่ และที่นี่ อาจจะเก่าหน่อยแต่เนื้อหาน่าจะยังคงความจริงอยู่)
เรื่องราวของธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ครั้งนี้ทำให้เราได้ข้อคิด 5 ข้อ
สุดท้ายนี้ผู้เขียนเองยังสังสัยอยู่ว่าธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์มีข้อมูลอะไรที่เราไม่เห็น ทำไมถึงกลัวลูกหลงสงครามค่าเงินถึงขั้นที่จะต้องเสียสละทั้งแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจและความน่าเชื่อถือที่นับวันยิ่งหายากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าสมมุติว่าธนาคารสวิตเซอร์แลนด์ทำถูกและไม่ได้พลาด บางทีเขาอาจมองว่าการทำ QE ให้สำเร็จในยุโรปจะต้องทำเยอะมากๆๆๆ ถึงจะยกเศรษฐกิจเน่าๆ ทั้งหมดขึ้นได้ หมากนี้ของสวิตเซอร์แลนด์จึงอาจทำให้เราฉุกคิดว่าสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศรักสงบที่ “ป๊อด” และ risk-averse ถึงขั้นยอมเจ็บตัวตอนนี้ดีกว่าการรับความเสี่ยงที่จะมาจากการเล่นเกมการเงินเสี่ยงๆ พิเรนๆ กับมหาอำนาจทางการเงินอื่นๆ
ในช่วงเวลาที่นโยบายการเงินดูเหมือนจะเป็นพระเอกหรือตัวร้าย hot topic ในทุกๆ หนังสือพิมพ์ตอนนี้ เราต้องไม่ลืมว่าตัวแปรที่สำคัญกว่าคือการพัฒนาเทคโนโลยีระดับชาติและความสามารถของผู้คนในประเทศ คงจะต้องจับตามองชะตากรรมของประเทศนี้ต่อไปว่าจะคงความรักสงบและสันโดษไม่เลือกข้างต่อไปได้โดยที่ไม่กระอักเลือดได้จริงๆ หรือไม่ในโลกที่การเงินและการค้าระหว่างประเทศเชื่อมต่อกันขนาดนี้
สิ่งที่ SNB มีแต่ FED ไม่มี อาจเป็นเพียงของง่ายๆที่โลก(เกือบ)ลืมอย่าง “สามัญสำนึก” “จริยธรรม” และ “ความเป็นมืออาชีพ” ก็เป็นได้ครับ 🙂
FED and BOJ ทำแบบนั้นได้เพราะมี ชื่อชั้นประเทศ ที่สามารถ inflate เงินโดยไม่ต้องวางหลักประกัน ที่จริง ชื่อชั้น SNB อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำแต่ก็เลือกที่จะไม่ทำ
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ 🙂