ในบางสถานการณ์มนุษย์เราตัดสินใจได้แย่พอๆ กับ (หรือแย่กว่า) นกพิราบที่กำลังเก็บกินเศษขนมปังตามท้องถนน
“เพิ่งซื้อหุ้นซัมซุงมาอย่างแพง…Note 7 ดันเน่ายกแผง…แต่อย่าเพิ่งขายเลย เสียดาย”
“X-Men ภาคสามนี่ทำได้แย่จริงๆ แต่เสียดายค่าตั๋ว ทนดูไปอีกสองชั่วโมงแล้วกัน”
“เราเกลียดงานเรา แต่อุตส่าห์ทำมาตั้ง 5 ปีแล้ว จะให้ลาออกได้ยังไง”
“อย่าเพิ่งเลิกกันเลย เราอาจจะเข้ากันไม่ได้ แต่เราคบกันมาตั้ง 7 ปีแล้วนะ”
ช่วงเวลาสำคัญๆ เหล่านี้มนุษย์ทุกคนล้วนเคยผ่านมันมาแล้วทั้งนั้น แต่จะมีส่วนน้อยที่ไม่เคยติดกับดักที่ชื่อว่า sunk cost fallacy
Sunk cost คือต้นทุนที่ “จมไปเรียบร้อยแล้ว” เอาคืนมาไม่ได้ ไม่มีเหตุผลที่ควรจะนำมันมาช่วยพิจารณาการตัดสินใจในการลงทุนเม็ดเงิน แรงกาย หรือแรงใจต่อไปในปัจจุบันเพราะว่ามันไม่สามารถมากระทบผลตอบแทนหรือต้นทุนใหม่ๆ ที่กำลังจะมาถึงในอนาคตได้
การทำความเข้าใจกับกับดัก sunk cost นั้นมีความสำคัญยิ่ง เนื่องจากมันเป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจที่ดีที่สุดของเรา ไม่ว่าจะเป็นในการลงทุนในสินทรัพย์หรือในชีวิตส่วนตัว
งานวิจัยชิ้นแล้วชิ้นเล่าพบว่ามนุษย์เรามักติดกับดักนี้ในแทบจะทุกสถานการณ์ เช่น
หลายสิบปีที่ผ่านมามีทฤษฎีมากมายที่พยายามจะอธิบายว่าทำไมมนุษย์เราถึงชอบติดกับดัก sunk cost ในขณะที่สัตว์และแมลงหลายสปีซี่ส์ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยติดกับดักนี้ และถึงจะติดก็ติดไม่เท่ามนุษย์ (www.americandreamcoalition.org/transit/sunkcosteffect.pdf ) การหลับหูหลับตาปฏิบัติตามคำสอน เช่น “อย่าฟุ่มเฟือย” หรือ “อย่ายอมแพ้ง่ายๆ” เป็นคำอธิบายที่ถูกยอมรับกันอย่างกว้างขวางในวงการจิตวิทยาเพราะว่ามนุษย์ (ที่โตแล้ว) เท่านั้นที่จะมีพลังทางความคิดมากพอที่จะคอยนึกถึงคำสอนเหล่านี้ จึงชอบติดกับดักนี้กัน
แต่ก็มีอีกคำอธิบายหนึ่งที่เพิ่งถูกค้นพบเมื่อไม่กี่ปีมานี้ที่ผู้เขียนคิดว่าน่าสนใจ นักเศรษฐศาสตร์ Sandeep Baliga กับ Jeffrey Ely แห่ง Northwestern University ตั้งสมมุติฐานว่าในบางกรณีเราอาจจะยอมติดกับดัก sunk cost แต่โดยดีเพราะว่าเราต้องการใช้มันเป็นเหมือน “เครื่องช่วยจำ” ชนิดหนึ่ง (https://www.aeaweb.org/articles?id=10.1257/mic.3.4.35) นั่นก็คือ ความจำเราสั้น เราจำไม่ได้ว่าเราลงทุนในอดีตไปเพราะเหตุผลแท้จริงอะไรกันแน่ การแก้ปัญหาความจำเฉพาะหน้าในวันนี้คือการดูเอาว่าเราลงทุนไปมากแค่ไหนในอดีต ยิ่งมากก็ยิ่งมั่นใจว่ามันต้องเป็นการลงทุนที่ดีมากๆ แน่ๆ (ไม่งั้นตัวเราในอดีตคงไม่ลงทุนไปมากๆ ตั้งแต่แรก) จึงเป็นอีกหนึ่งคำอธิบายว่าเหตุใดเราจึงยอมให้ต้นทุนในอดีตที่จบไปแล้วกลับมากระทบการตัดสินใจในปัจจุบัน
พวกเขาทดสอบสมมุติฐานที่ว่านี้ด้วยการทำการทดลองในแล็บคอมพิวเตอร์กับนักเรียน MBA ปีแรก 100 คนที่ Kellogg School of Management โดยให้พวกเขาเล่นเกมลงทุนที่มีสองขั้นตอน
ขั้นตอนแรกจะให้เหล่านักเรียนเลือกว่าจะลงทุนในโปรเจค 30 โปรเจคต่อไปนี้หรือไม่ ซึ่งแต่ละโปรเจคนก็จะมีผลตอบแทนและต้นทุนที่เป็นไปได้สองแบบด้วยความน่าจะเป็นเท่ากัน ยกตัวอย่างเช่น อาจจะได้ผลตอบแทน 7 หรือ 12 ดอลลาร์เมื่อโปรเจคเสร็จสิ้น และเสียเงินลงทุนไป 1 หรือ 6 ดอลลาร์ในวันนี้
หลังจากที่ตอบคำถามว่าจะลงทุนหรือไม่ลงทุนกับโปรเจคกว่า 30 โปรเจคในขั้นตอนแรก เหล่านักเรียน 100 คนนี้จะต้องตัดสินใจอีกรอบในขั้นตอนที่สองว่า จะลงทุนเพิ่มในแต่ละโปรเจคไหม ซึ่งอาจจะต้องจ่าย 1 หรือ 10 ดอลลาร์ด้วยความน่าจะเป็นที่เท่ากัน ความมันส์อยู่ตรงที่ว่าทุกโปรเจคในขั้นตอนที่สองจะบอกว่าลงทุนไปแล้วเท่าไหร่ แต่บางโปรเจคจะไม่บอกว่ามันจะมีผลตอบแทนเท่าไหร่เมื่อโปรเจคเสร็จสิ้น คนปกติจะลืมตัวเลขไปหมดแล้วจากขั้นตอนแรก นี่จึงเป็นการทดสอบว่านักเรียนเหล่านี้จะเดินเข้าสู่กับดัก sunk cost เพราะว่า “ลืม” เหตุผลที่ลงทุนไปกับโปรเจคพวกนี้จากขั้นตอนแรกหรือไม่
ผลก็เป็นดั่งที่ตั้งสมมุติฐานไว้ คือคนเรายอมติดกับดักและใช้ sunk cost เพื่อทดแทน “ข้อมูลที่หายไป” เพราะว่าขีดจำกัดของความจำมนุษย์
แม้ว่าจะไม่มีใครหลีกเลี่ยงกับดักนี้ได้ทุกครั้ง แค่เพียงเราทราบถึงตัวตนของมันก็น่าจะทำให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นกว่าคนที่ไม่เคยรู้จักมันแล้ว
และในเมื่อมันหลีกเลี่ยงลำบาก บางทีเราอาจพลิกมาใช้ประโยชน์จากมันก็ยังได้ ผู้เขียนเองยอมจ่ายเงินซื้อคอร์สออกกำลังกายในสตูดิโอแพงๆ (ทั้งๆ ที่ออกกำลังกับ dvd ที่บ้านก็ได้) เพื่อที่จะทำให้รู้สึกเสียดายเงินเวลาขี้เกียจออกกำลังกาย สุดท้ายพบว่าเป็นวิธีรักษาวินัยในการดูแลสุขภาพระยะยาวที่ได้ผลมาก
อีกทั้งในภาพรวมแล้วการติดกับดัก sunk cost ก็อาจไม่ได้แย่ขนาดที่เราคิด มันอาจเป็น “ราคา” ที่เรายอมจ่ายเพื่อลดภาระของสมองเนื่องจากการหลับหูหลับตาทำตามคำสอนในสังคมหรือการใช้ sunk cost เพื่อทดแทนความจำของเรานั้นทำได้ง่าย แทบไม่ต้องคิด ไม่ต้องประมวลสถานการณ์ และผลลัพธ์ส่วนใหญ่น่าจะออกมาพอใช้ได้
คุณผู้อ่านมีวิธีอยู่กับ sunk cost กันอย่างไรก็ comment มาได้ครับ
Recent Comments