“ได้ครับๆ เดี๋ยวพี่บุ๊ควันเสาร์นี้ไว้นะ แปดโมงเช้าถึงสี่โมงเย็นใช่มั๊ย โอเค…อ่อเอาวันอาทิตย์ช่วงบ่ายเพิ่มด้วยเหรอ พอดีพี่ติดสอนอีกที่นึง เดี๋ยวพี่ให้เพื่อนพี่ไปแทนนะ คนนี้เก่งเหมือนกัน จบวิศวะ…สรุปเสาร์นี้หกชั่วโมง อาทิตย์สี่ชั่วโมงนะครับ ที่เดิมนะครับ สวัสดีครับ”
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปสิบเอ็ดปีแล้วหลังจากครั้งสุดท้ายที่ผม “เรียนพิเศษ” แต่พอไปได้ยินการสนทนาทางโทรศัพท์ของครูสอนพิเศษที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ ในร้านกาแฟก็อดคิดไม่ได้ว่าจริงๆ ว่าไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก การกวดวิชาได้กลายเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งและยังเป็นส่วนสำคัญในชีวิตนักเรียนไทย ซึ่งดูจากสถิติจำนวนผู้เรียนคร่าวๆ ที่ยังไม่รวมการติวตัวต่อตัว บวกกับค่าเล่าเรียนที่ไม่ถูกแล้ว การกวดวิชาอาจเป็นส่วนสำคัญที่สุดสำหรับนักเรียนและผู้ปกครองหลายท่านในสังคมไทยสมัยใหม่ก็เป็นได้
หลังจากที่การศึกษาไทยสอบตกมาหลายครั้งหลายคราบนเวทีโลก นอกจากผู้ดูแลหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนรัฐบาลจะถูกเพ่งเล็งแล้ว โรงเรียนกวดวิชาก็ตกเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายจู่โจมของสังคมไทย ทั้งสองฝ่ายต่างตกเป็นเป้าหมายจู่โจมเพราะว่าสังคมมองว่ามีงบประมาณหรือรายได้มากแต่กลับดูเหมือนว่าไม่สามารถทำให้เด็กไทยมีความคิดอ่านที่สามารถเทียบกับมาตรฐานโลกได้ อีกทั้งการกวดวิชาอย่างเอาเป็นเอาตายยังสร้างความเครียดให้กับเด็กๆ และภาระทางการเงินให้กับผู้ปกครองจำนวนมาก ในระยะหลังนี้โรงเรียนกวดวิชาจึงถูกมองว่าเป็นหนามเสี้ยนที่กัดกินระบบการศึกษาไทย
ตอนเด็กๆ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมใช้เวลาที่โรงเรียนวันละแปดชั่วโมงแล้วยังจะต้องไปกวดวิชาเพิ่มอีก
ทั้งหมดนี้เพื่ออะไรกันหรือ มันทำให้ผมเก่งขึ้น มีอนาคตขึ้น จริงรึเปล่า หรือทำไปเพราะคนอื่นเขาไปกัน
การวัดว่าการกวดวิชามีผลคุ้มกว่าการไม่กวดวิชาหรือไม่นั้นเป็นคำถามน่าคิด แต่การตอบคำถามนี้ทำได้ลำบากเนื่องจากเราสามารถสังเกตเห็นผลลัพธ์ในความเป็นจริงในโลกที่เราเข้าไปกวดวิชาเท่านั้น ไม่มีทางสังเกตพบเห็นได้จริงว่าในโลกคู่ขนานที่ตัวเราตัดสินใจไม่ไปกวดวิชานั้น เราจะมีผลการเรียน มีความคิดความสามารถ และมีอนาคตแตกต่างออกไปเช่นไร
บางทีการที่เราเคยได้ยินว่ามีคนนั้นคนนี้ไปเรียนโรงเรียนกวดวิชาชื่อดัง (หรือแม้กระทั่งโรงเรียนมัธยมชื่อดัง) แล้วสอบติดมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของประเทศอาจเป็นเพราะเขาเป็นคนใฝ่รู้ พ่อแม่มีฐานะดี ลงทุนกับมันสมองเขาเต็มที่ และเขาก็มีความสามารถเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การไปเข้าโรงเรียนกวดวิชาอาจจะไม่ได้เพิ่มโอกาสสอบติดของเขาเลยสักนิดเดียว เรื่องเล่าในอีกมุมก็มีเหมือนกัน ผู้อ่านอาจจะเคยได้ยินว่าเพื่อนเราที่เรียนไม่ค่อยเก่งพอเข้าไปเรียนกวดวิชาที่นั่นที่นี่แล้วทำให้ผลการเรียนดีขึ้น กลายเป็นคนละคนไปเลย เป็นเพราะเรื่องราวสองขั้วแบบนี้ มันจึงมีโอกาสที่เราจะพลาดและด่วนสรุปมองว่าโรงเรียนกวดวิชามีประสิทธิภาพมากหรือน้อยเกินความเป็นจริง อย่างเก่งก็เป็นแค่การเดาและสรุปด้วยเรื่องเล่าไม่กี่เรื่อง
แม้ว่าการวัดประสิทธิภาพนี้จะเป็นงานที่ท้าทายก็ตาม นักวิจัยยุคหลังๆ อาศัยวิวัฒนาการทางเศรษฐมิติและข้อมูลที่มีเพิ่มมากขึ้นเพื่อพยายามคำนวนผลลัพธ์ของการไปเรียนกวดวิชาสำหรับนักเรียนธรรมดาๆ คนหนึ่ง โดยพบว่าการกวดวิชาในแต่ละประเทศแต่ละพื้นที่นั้นมีผลลัพธ์ที่ไม่แน่ชัดและมีผลกระทบต่อนักเรียนแต่ละประเภทไม่เท่ากัน ในขณะที่งานวิจัยบางชิ้นที่ใช้ข้อมูลจากประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน อิสราเอล และอินเดีย พบผลดี แต่งานวิจัยบางชิ้นในประเทศสิงค์โปร์และเกาหลีใต้ จีน เวียดนามและอินโดนีเซียไม่พบผลลัพธ์ทางลบก็พบว่าการกวดวิชาไม่ได้มีผลลัพธ์ดีมากพอที่จะมีนัยสำคัญทางสถิติ
แต่ไม่ว่าการกวดวิชาจะมีผลลัพธ์กับเด็กๆ จริงหรือไม่ ผู้ปกครองส่วนมากก็ยังมองตรงกันว่าการกวดวิชากลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งในชีวิตไปแล้ว บางคนมองว่ามันเป็นตัวแทนการเรียนการสอนของรัฐบาลที่ไม่เหมาะกับแนวทางการเรียนรู้ของบุตรหลานตน แต่ที่น่าวิตกคือบางคนมองว่ามันเป็นหมากที่ “ถูกบังคับให้เดิน” นั่นก็คือสภาพของสังคมบีบบังคับให้ผู้ปกครองต้องลงทุนกับการกวดวิชาเพราะเกรงว่าบุตรหลานของตนจะเสียเปรียบเพื่อนๆ ในการทำข้อสอบที่ชี้เป็นชี้ตาย ซึ่งเป็นที่ทราบกันในหมู่นักเรียนว่าเนื้อหาข้อสอบกว้างกว่าที่สอนกันในโรงเรียนปกติและจำเป็นต้องใช้เทคนิคการทำข้อสอบที่โรงเรียนปกติไม่ได้เตรียมตัวให้ ผู้ปกครองของเด็กๆ เหล่านี้ก็ทราบดีถึงผลตอบแทนที่การศึกษาจะนำมาให้ได้ หลายท่านก็เคยลำบากเนื่องจากตนเองไม่มีวุฒิการศึกษาที่ดีพอ ไม่ต้องการให้ลูกหลานต้องประสบกับชะตากรรมเดียวกัน จึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้เด็กๆ สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยระดับท๊อปได้
ที่สำคัญคือปรากฏการณ์นี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับประเทศไทยประเทศเดียว แต่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่โดยรวมเด็กๆ มีศักยภาพสูง หรือในประเทศที่สอบ PISA ได้ไม่ดี ยกตัวอย่างเช่น ประเทศเกาหลี (เด็กๆ วัยประถมศึกษากว่าร้อยละ 88 และเด็กๆ วัยมัถยมต้นกว่าร้อยละ 73 นั้นเรียนพิเศษเสริม) ฮ่องกง (เด็กๆ วัยประถมปลายกว่าร้อยละ 70 เรียนพิเศษ) ประเทศศรีลังกา (เด็กๆ ม. 6 กว่าร้อยละ 98 เรียนพิเศษ) และในประเทศมอริเชียส (เด็กๆ ระดับมัธยมศึกษาไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 ใช้บริการกวดวิชา)
ปัญหาที่มักพบเห็นโดยเฉพาะในประเทศด้อยพัฒนาที่มีวัฒนธรรมกวดวิชาก็คือการที่ผู้ปกครองและเด็กๆ ไม่สามารถหนีออกจากวงจรชีวิตอันน่าสมเพจได้ เนื่องจากความล้มเหลวของการทำหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ อุปทานของการศึกษาระดับอุดมศึกษาคุณภาพไม่สามารถตอบสนองอุปสงค์ของประชากรได้เพียงพอ อีกทั้งยังไม่มีการควบคุมสถาบันกวดวิชาใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้นจากการแห่กันไปกวดวิชาจึงเป็นเพียงแค่การสลับสับเปลี่ยนเยาวชนกลุ่มที่จะได้ไปชนะ “ศึกชิงเก้าอี้” ในมหาวิทยาลัยอันเลื่องชื่อของประเทศเขาเท่านั้นเอง ไม่ได้เกิดสิ่งดีงามขึ้นมามากพอที่จะคุ้มค่าของเวลาอันมีค่าของวัยเด็กและทรัพยากรที่เสียไปกับการแข่ง rat race นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเด็กๆ กลุ่มที่ควรได้รับการสอนพิเศษเพิ่มเติมเป็นกลุ่มที่มาจากครอบครัวที่ไม่มีฐานะเท่า การเปิดโอกาสให้เกิดการแข่งขันในลักษณะที่กติกาสร้าวไว้ให้คนรวยได้เปรียบนั้นจะทำให้ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันในประเทศเหล่านี้แย่ลงไปอีก
อีกหนึ่งปัญหาก็คือวัฒนธรรมกวดวิชาเป็นการสร้างความไม่มีประสิทธิภาพให้กับการศึกษาในโรงเรียนปกติแบบอ้อมๆ ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศที่ครูมีรายได้ต่ำและมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างละหลวมอย่างในประเทศเนปาลนั้น เป็นที่พบเห็นโดยง่ายที่จะมีครูในโรงเรียนปกติบางกลุ่ม “กั๊ก” วิชาเพื่อผลตอบแทนที่สูงที่สุดจากการสอนพิเศษ บางครั้งถึงกับบอกลูกศิษย์อย่างไร้จรรยาบรรณว่า “ข้อสอบปลายภาคจะออกเนื้อหา A B และ C ในชั่วโมงปกติครูจะสอน A กับ B ส่วน C หนูจะต้องมาเรียนพิเศษกับครูหลังเลิกเรียนเองนะ” กลายเป็นว่า นอกจากผู้ปกครองและเด็กๆ แล้วยังไม่พอ ครูบางส่วนเองก็ต้องดิ้นรนหารายได้พิเศษ ตกเป็นทาสของวงจรนี้ด้วย สุดท้ายเงินงบประมาณเพื่อการเพิ่มคุณภาพของการเรียนการสอนในโรงเรียนปกติก็จะใช้ได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพเพราะว่าครูบางกลุ่มเล็งเห็นโอกาสที่ดีกว่าหลังเลิกเรียนนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม โรงเรียนกวดวิชาก็ใช่ว่าจะมีแต่ผลเสียเสมอไป อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้น วัฒนธรรมกวดวิชาอย่างเอาเป็นเอาตายก็ยังสามารถปรากฏอยู่ในประเทศที่การศึกษามีมาตรฐานสูงอย่างประเทศเกาหลีใต้ได้ เพราะที่จริงแล้วการมีการเรียนการสอนเพิ่มเติมสามารถทำให้นักเรียนที่ยังไม่เข้าใจเนื้อหาบางส่วนในเวลาเรียนปกติก็เป็นข้อดีเหมือนกัน ผมเองสามารถพูดได้เต็มปากว่าผมคงไม่มีวันเข้าใจเนื้อหายากๆ ในวิชาคณิตศาสตร์หรือเคมี หากผมไม่ได้มีโอกาสติวกับอาจารย์สอนพิเศษของผม เพราะต้องยอมรับว่าการเรียนการสอนในโรงเรียนปกตินั้นบางครั้งยังมีข้อจำกัดอยู่มาก
แสดงว่ามันก็ต้องมีบางส่วนของโรงเรียนกวดวิชาที่สามารถสร้างความรู้ในแบบที่โรงเรียนปกติทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นการค้นหาจุดเด่นและจุดบอดของการกวดวิชาอาจเป็นแนวทางที่ดีกว่าความคิดที่จะล้มล้างการกวดวิชาอย่างฉับพลัน
นักเศรษฐศาสตร์ชื่อ Seema Jayachandran ได้นำเสนอแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับปัญหานี้ด้วยการประยุกต์ใช้ทฤษฎีง่ายๆ ในงานวิจัยเรื่องเหตุจูงใจของครูกับตลาดกวดวิชาในประเทศเนปาล เธอพิสูจน์ด้วยคณิตศาสตร์ว่าพฤติกรรมกวดวิชาโดยครูในโรงเรียนปกติจะไม่เป็นปัญหากับระบบการศึกษามากเท่าที่เรานึกไว้หากการเรียนรู้ในห้องเรียนปกติกับการเรียนรู้ในห้องเรียนกวดวิชาเป็นสินค้าใช้ร่วมกัน (complementary goods) นั่นหมายความว่าผู้เรียนจะมีอุปสงค์ต้องการเรียนพิเศษมากขึ้นเมื่อเขาได้เรียนรู้มากขึ้นในโรงเรียนปกติ ซึ่งกรณีนี้อาจเป็นไปได้หากการเรียนรู้สองประเภทนี้แตกต่างกันแต่เสริมกันได้ดีในการเตรียมตัวนักเรียนในการสอบครั้งใหญ่ที่การขาดเรียนประเภทใดประเภทหนึ่งอาจทำให้มีโอกาสสอบตก ในกรณีนี้ครูในโรงเรียนปกติก็จะมีเหตุจูงใจให้สอนอย่างมีคุณภาพในช่วงเวลาปกติเพื่อเป็นการโฆษณาเรียกลูกค้ารอบพิเศษ งานวิจัยชิ้นนี้พบว่าวิชาภาษาเนปาลเป็นวิชาเดียวที่มีลักษณะที่ว่าการเรียนรู้ในและนอกโรงเรียนเป็นสินค้าใช้ร่วมกัน
แต่ที่พบเห็นบ่อยกว่าคือการเรียนรู้ในห้องเรียนปกติกับในห้องเรียนกวดวิชามักเป็นสินค้าประเภททดแทนกัน (substitute goods) ซึ่งแปลว่าสองสิ่งนี้แทนกันได้ อาจทดแทนกันไม่ได้หมด แต่จากประสบการณ์ตรงและการพูดคุยกับรุ่นน้อง ในสายตาของผู้เรียนนั้นหลายคนมองว่าการเรียนกวดวิชาในประเทศไทยเป็นสินค้าที่มีวัฒถุประสงค์เดียวกับการเรียนในห้องเรียนปกติ เมื่อเป็นเช่นนี้ ทฤษฎีของ Jayachandran ทำนายว่าครูในโรงเรียนปกติจะไม่มีใจสอนเต็มที่และจะกั๊กวิชาไว้เพื่อผลตอบแทนสูงสุดในการสอนพิเศษ ซึ่งก็เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ ในหลายประเทศ
เมื่อครู่ผมใช้คำว่า “สินค้า” แทนการเรียนรู้สองประเภท ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นแค่่การใช้ศัพท์ทางเทคนิคเท่านั้น เพราะจริงๆ แล้วการศึกษาควรเป็นอะไรที่มากกว่าแค่สินค้าที่ค้าขายกันตามท้องตลาด
การศึกษาที่เป็นธุรกิจแสวงกำไร ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของโรงเรียนเอกชน โรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนกวดวิชา หรือติวเตอร์ส่วนตัว แม้บางครั้งอาจนำมาซึ่งความมีประสิทธิภาพในการผลิตทุนมนุษย์ที่มากกว่า แต่ล้วนเป็นบ่อเกิดแห่งความเหลื่อมล้ำในสังคมทั้งสิ้น
ความคิดแบบนี้สวนทางกับความคิดแนว neoliberalism ที่ว่าการปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกตลาดโดยไม่มีการควบคุมโดยรัฐจะดีที่สุด แต่ปัญหาของแนวคิดนี้อยู่ที่ว่าแนวคิดแบบนี้ไม่ได้คำนึงถึงความเสมอภาคและความเป็นธรรมเลยสักนิดเดียว ขณะนี้มีการคำนวนไว้ว่าภายในปี พ.ศ. 2559 บุคคลที่ร่ำรวยที่สุด 1% ของโลกจะมีทรัพย์สินมากกว่าประชากรอีกครึ่งหนึ่งของโลก นี่เป็นโลกที่เราต้องการจริงๆ หรือ
การศึกษาคุณภาพควรจะเป็นสิทธิของประชาชน ไม่ใช่เป็นแค่ตั๋วที่ชื่อว่า “ปริญญา” เพื่อจองที่ยืนที่สูงกว่าในสังคมอย่างที่พบเห็นกันในหลายๆ สังคม เพราะว่าการศึกษามีจุดหมายสำหรับสังคมมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก
จุดหมายที่ว่านี้ไม่ใช่การที่ประเทศเราสามารถผลิตใบปริญญาจำนวนมากขึ้นทุกปี ปริญญาหรือจำนวนปีที่ประชากรสำเร็จการศึกษานั้นเป็นเพียงแค่สัญญานบอกใบ้คุณภาพของความคิดอ่านของประชากรหนึ่งคน เป็นเครื่องอำนวยความสะดวกให้กับเหล่าผู้จ้างงานในการสรรหาบุคคลากร ซึ่งสัญญานเหล่านี้อาจมีความเที่ยงตรงมากน้อยแค่ไหนหรือไม่ก็แล้วแต่กรณีไป
แม้แต่ความฉลาดหลักแหลมของประชากรก็ยังมิใช่จุดหมายที่แท้จริงของการศึกษา
จุดหมายที่แท้จริงคือความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนและสังคม หากมองระบบการศึกษาอย่างหยาบๆ สถานศึกษา เช่น โรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนกวดวิชา หรือ ในร้านกาแฟที่มีติวเตอร์สิงสถิตอยู่ สถานที่เหล่านี้เปรียบดั่งโรงงานที่เอาไว้ผลิต “ประชากรคุณภาพ” ให้กับสังคม ซึ่งเมื่อจบออกมาแล้วจะต้องมีความแตกต่างจากประชากรที่ไม่ได้เข้าโรงงานพวกนี้ หาก “ประชากรคุณภาพ” เหล่านี้แกะห่อออกมาแล้วทำให้สังคมโดยรวมพัฒนาขึ้น มีศีลธรรมขึ้น อยู่กันอย่างสงบสุขขึ้น โรคภัยไข้เจ็บน้อยลง อาชญากรรมลดลง อาหารการกินไม่ขาดแคลน สังคมเป็นปึกแผ่นขึ้น นั่นก็แปลว่าโรงงานเหล่านี้มีประสิทธิภาพ
แต่สิ่งที่พวกเราเห็นกันทุกวันนี้มันพูดได้ไม่เต็มปากว่าสังคมดีขึ้น เผลอๆ อาจจะกลับกันด้วยซ้ำ
คงต้องยอมรับว่าในวันนี้การกวดวิชาได้หยั่งรากลึกลงไปในสังคมของเราและได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยไปเรียบร้อยแล้วไม่ว่าเราจะเห็นด้วยกับมันหรือไม่ แน่นอนว่าแม้ว่าการกวดวิชาจะนำมาซึ่งประโยชน์และความได้เปรียบต่อคนบางกลุ่ม แต่ก็นำมาซึ่งความลำบากต่อคนที่ไม่มีทางเลือกเท่า
หากมองในแง่ดี การที่การกวดวิชากำลังตกเป็นประเด็นที่ได้รับการถกเถียงกันอย่างมากนั้นถือว่าเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เห็นว่าภาครัฐจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร
เพราะว่าการศึกษานั้นเป็นเซ็กเตอร์สำคัญที่ควรมีการควบคุมในระดับหนึ่ง คล้ายกับเซ็กเตอร์สาธารณสุขในเชิงที่ว่าไม่ใช่ว่าใครก็ได้สามารถทำตัวเป็นแพทย์ผ่าตัดสมองได้ จำเป็นที่แพทย์คนนี้จะต้องรู้หลักการ สอบให้ผ่าน และฝึกฝนฝีมือมาอย่างช่ำชองก่อนที่เขาจะแตะต้องสมองของคุณได้ แต่ในวงการการศึกษากลับมิใช่เช่นนั้น ทั้งๆ ที่การเข้าไปเรียนกวดวิชาหรือไปโรงเรียนตามปกติก็เป็นการ “ผ่าตัดสมอง” แบบไร้ใบมีดในอีกมุมเหมือนกัน การที่เยาวชนของชาติจำนวนมากต้องใช้เวลามหาศาลในห้องเรียนแต่กลับดูเหมือนไม่มีผลดีต่อสังคมมันควรทำให้เราวิตกว่าพวกเขาได้อะไรไปบ้างนอกจากใบปริญญา หรือมันเป็นแค่ภาระและการเสียเวลาที่เลี่ยงไม่ได้ในวงจรชีวิตแบบที่เป็นอยู่นี้
คำถามที่ตามมาคือรัฐจะวางตัวเป็นผู้ควบคุมดูแลเซ็กเตอร์นี้อย่างไรจึงจะมีประสิทธิภาพและเหมาะสม
เพราะขณะนี้ดูเหมือนว่าการศึกษาภาครัฐและการศึกษา “ภาคพิเศษ” นั้นกำลังขัดขากันเอง ภาครัฐพยายามออกข้อสอบฉีกแนวเพื่อลดประโยชน์ของการเก็งข้อสอบจากโรงเรียนกวดวิชา ภาคพิเศษก็ยังหาทางเก็งข้อสอบและสอนเทคนิคใหม่ๆ ได้เสมอ และไม่มีทางเลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้นด้วยเพราะว่าอนาคตของลูกค้าก็เดิมพันด้วยคะแนนสอบ ก็เป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ สถานการณ์ของเราไม่ต่างกับการเล่นเกมส์วิ่งแข่ง qwop โดยคนสองคนที่พูดกันไม่รู้เรื่อง
บางทีการประกาศสงครามกับวัฒนธรรมกวดวิชาอาจไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องที่สุดเสมอไป เพราะว่าแท้จริงแล้วการกวดวิชาประเภทที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนั้นไม่ใช่ต้นตอของปัญหาการศึกษาไทย หากแต่เป็นอาการของความไม่ปกติของระบบการศึกษาเท่านั้น อีกทั้งการกวดวิชาก็ไม่ได้มีแต่ผลเสียเสมอไป การที่เราจะจู่โจมโรงเรียนกวดวิชาแบบหว่านแหจะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น
การเก็บภาษีนั้นที่จริงแล้วก็ควรเก็บตามระเบียบ แต่มีโอกาสสูงมากที่ภาระภาษีจะตกสู่ผู้บริโภคแม้ว่ารัฐบาลจะประกาศให้ตรึงค่าเรียนพิเศษไว้จนกระทั่งเดือนเมษายน 2559 จะกลายเป็นว่าการเก็บภาษีจะกลายเป็นการสร้างความไม่เสมอภาคขึ้นไปใหญ่ ยังไงก็ยังจะมีการกวดวิชาเพราะสภาพแวดล้อมของการศึกษาไทยไม่มีอะไรอื่นเปลี่ยนไปเลย
มันจะดีกว่าหากภาครัฐเร่งแก้ไขต้นตอของปัญหาการศึกษา ลงมือแก้ไขปัญหากวดวิชาในจุดที่จำเป็นที่สุดและมองหาจุดที่สามารถใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วในระบบนิเวศน์การศึกษานี้ที่เต็มไปด้วยติวเตอร์หัวกะทิ เทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน และเงินอันมหาศาลให้เกิดประโยชน์ขึ้นมา
อันดับแรกคือต้องปราบปรามพฤติกรรมกั๊กวิชาโดยครูบางกลุ่ม
อันดับที่สองคือต้องหาวิธีแยกแยะโรงเรียนกวดวิชาที่ดีและไม่ดีต่อสังคมเพื่อส่งเสริมโรงเรียนดีและกำจัดโรงเรียนที่เอาแต่หากินกับเด็ก อันนี้ทำยากแต่จำเป็น ขนาดในประเทศสหรัฐอเมริกาที่เชิดชูการแข่งขันเสรีเองก็มีการพยายามค้นหามหาวิทยาลัยเอกชนที่มีค่าเล่าเรียนแพงแต่ไม่มีคุณภาพ เพราะว่าเด็กๆ หลายกลุ่มไม่ค่อยมีข้อมูลเกี่ยวกับมหาวิทยาลัย จึงมักจะติดหนี้ ไม่ได้รับการศึกษาที่ดี หางานไม่ได้และตกอยู่ในสภาพย่ำแย่เป็นหนี้ท่วมหัวในที่สุด จุดนี้จะต้องเริ่มจากการจัดเก็บข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโรงเรียนกวดวิชาก่อน
อันดับที่สามคือการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐกับภาคพิเศษเพื่อคืนกำไรสู่สังคม หลังจากสามารถแยกแยะได้แล้ว ควรมีการร่วมมือกันระหว่างสองฝ่ายเพื่อให้นักเรียนที่ด้อยโอกาสหรือนักเรียนที่จำเป็นต้องได้รับการติวพิเศษมากที่สุดได้รับโอกาสเรียนพิเศษ การมีทุนการศึกษาให้กับผู้เรียนที่เหมาะสมก็ถือว่าเป็นไอเดียที่ไม่เลว ในขณะที่สังคมเริ่มมองว่าการกวดวิชาเป็นธุรกิจมืด นี่เป็นโอกาสดีที่ธุรกิจประเภทนี้จะสามารถพลิกโฉมตัวเองได้
แต่ข้อเท็จจริงที่เลี่ยงไม่ได้คือทุกวันนี้คะแนนสอบก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นไม่ว่าจะในประเทศไหนก็ตาม
แต่หากคะแนนสอบยังเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของการศึกษาในจิตใจของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารประเทศ ผู้ออกข้อสอบ ผู้ประกอบการโรงเรียนกวดวิชา ผู้ปกครอง และผู้เรียน ทำอย่างไรเราก็จะไม่มีวันออกจากวงจรนี้ได้
คงต้องฝากไปคิดกันว่าอะไรกันแน่ควรจะเป็นจุดหมายของการศึกษาในใจคุณ จากนั้นค่อยคิดว่าจะทำอย่างไรกับวัฒนธรรมกวดวิชาและปัญหาอื่นๆ ที่พบเห็นกันอยู่ทุกวันนี้
การกวดวิชาจะยังคงมีต่อไป หากการไปเรียนในโรงเรียนแล้วกลับทำข้อสอบไม่ได้หรือเรียนแล้วไม่รู้เรื่องเกิดจากครูสอน หรือ ผู้ออกข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยออกข้อสอบไปคนละแนวการสอนที่มีตำราที่นักเรียนเรียนจากหลักสูตร การคัดกรองผู้ทีจะมาเป็นครู ต้องคัดกรองจากคนที่มีความรู้จริงๆ และมีใจที่รักการเป็นครู และให้ค่าต้องแทนที่ อยู่ได้ไม่น้อยหน้าอาชีพอื่นๆ เช่นวิศวะ เช่นคนที่เก่งภาษา หากการเป็นครูสอนภาษาในโรงเรียนเป็นทางเลือกที่ดี อาชีพหนึ่ง เราก็จะได้คนที่เก่งมาเป็นครูถ่ายทอดวิชาให้แก่ลูกหลานของเรา ประเทศไทยต้องการคนเก่งคนดีมาเป็นครูบาอาจารย์และต้นแบบให้กับเยาวชนของเรา ต้องเริ่มต้นตั้งแต่ชั้นอนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัย ต้องให้ความสำคัญในการเรียนในห้องเรียน เวลาที่เหลือเด็กจะได้นำไปเล่นหรือทำอะไรตามวัยได้ และมีเวลาอยู่กับครอบครัว พ่อแม่ก็จะได้ใกล้ชิดลูกมากขึ้น