menu Menu
วิเคราะห์แนวโน้มการศึกษาออนไลน์
By ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ Posted in Human & AI, Smarter Policy on September 21, 2014 0 Comments 100 words
"ประชาธิปไตย" : เส้นทางซับซ้อนสู่สังคมในฝัน Previous 5 วิธีพัฒนาการศึกษานอกรั้วโรงเรียน Next

ไม่น่าเชื่อว่าขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนเรียนออนไลน์ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคนแล้ว  หลายคนเห็นว่าการเรียนออนไลน์คืออนาคตของการศึกษาเนื่องจากเป็นการเผยแพร่ความรู้โดยผู้สอนที่มีประสิทธิภาพที่สุดในรูปแบบที่มีค่าใช้จ่ายต่อหัวต่ำที่สุด  มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ถึงกับผวาเมื่อนึกถึงบทบาทของตัวเองในโลกแห่งดิจิตัลในอนาคต  ถึงกระนั้นก็ตามในพักหลังนี้เริ่มมีการถกเถียงถึงข้อเสียของ Online Education ว่าไม่สามารถทดแทนสิ่งที่มหาวิทยาลัยมอบให้กับนักเรียนได้ มิหนำซ้ำยังอาจเป็นการทำลายความมั่นคงของอาชีพศาสตราจารย์และโมเดลธุรกิจดั้งเดิมของสถาบันการศึกษาอันเก่าแก่อีกด้วย  คลื่นลูกใหม่ลูกนี้จะมาเปลี่ยนอนาคตของการศึกษา มหาวิทยาลัย คณาจารย์และเหล่านักเรียนรุ่นลูกหลานของเราอย่างไร ? เป็นคำถามที่น่าคิดยิ่งนัก

ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มคุณภาพของการเรียนการสอน

สิ่งที่เป็นจุดเด่นที่สุดของ Online Education คือโอกาสในการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มคุณภาพของการเรียนการสอนในบางสาขาและการลดค่าใช้จ่าย

เป็นเรื่องปกติที่สถาบันที่จะสามารถทำ Online Education ได้ดีนั้นจะต้องเจอกับ Fixed Cost ที่สูงมากเพราะว่ามีความจำเป็นที่จะต้องลงทุนในระบบ การดีไซน์คลาส และการถ่ายทำการเรียนการสอนทั้งหมด  แต่ทว่า Online Education นั้นได้เปรียบโมเดลการศึกษาแบบเก่าตรงที่ว่าโมเดลนี้มีค่าใช้จ่ายต่อหัวนักเรียนที่ต่ำกว่ามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับในกรณีของ MOOCs (Massive Open Online Courses) ที่มีจำนวนนักเรียนต่อคลาสได้เป็นแสน ๆ คน

ข้อได้เปรียบข้อนี้ได้มีผลกระทบทำให้ค่าเล่าเรียนออนไลน์ที่ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดในกรณีของโปรแกรมปริญญาโทสาขาcomputer science ที่สถาบันเทคโนโลยีจอร์เจีย (ติด Top 10 ด้านคอมพิวเตอร์) ซึ่งเรียกค่าเล่าเรียนเพียงแค่ 1/6 ของค่าเล่าเรียนหลักสูตรปกติที่ต้องเข้าไปเรียนด้วยตัวเป็น ๆ

ในขณะเดียวกัน ค่าเล่าเรียนระดับมหาวิทยาลัยในประเทษสหรัฐอเมริกาพุ่งขึ้นสูงมากว่า 28% ในรอบสิบปีที่ผ่านมา ค่าเล่าเรียนออนไลน์นั้นมีแนวโน้มที่จะมาตัดราคาแถมยังมีโอกาสที่จะเพิ่มคุณภาพของการเรียนรู้ได้มากกว่าในบางสายวิชาอีกด้วย

สาเหตุสำคัญที่คุณภาพของการเรียนรู้จะสูงขึ้นคือแรงจูงใจในการผลิตผลงานคุณภาพที่อาจจะไม่มีตัวตนอยู่ในโครงสร้างของสถาบันการศึกษาออฟไลน์

เนื่องจากขนาดของตลาดนักเรียนที่กว้างกว่าตลาดปกติที่มหาวิทยาลัยเป็นผู้เล่นดั้งเดิมอยู่  มันเป็นเรื่องธรรมดาที่สถาบันออนไลน์เหล่านี้จะต้องเลือก “ผู้สอน” ที่เก่งที่สุดเท่าที่เขาจะหาได้  ถ่ายทำทีเดียวจะได้คุ้มที่สุด  ไอเดียนี้ไม่ได้ต่างจากการไปเรียนพิเศษกับทีวีแถวสยามในบ้านเรานัก  ถือเป็นการเค้นเอา “หัวกะทิ” ในหมู่ครูบาอาจารย์มาเป็นผู้กระจายความรู้ออนไลน์นั่นเอง

อีกหนึ่งข้อได้เปรียบของ Online Education คือความเร็วและความมีประสิทธิภาพในการตรวจการบ้านและข้อสอบซึ่งโดยปกติแล้วเป็นงานที่ใช้เวลาและน่าเบื่อหน่ายสำหรับครูอีกด้วย  แต่สมองกลไม่เคยเบื่อ จะให้ตรวจข้อสอบข้อเดิมเป็นล้าน ๆ รอบก็ยังยิ้มได้  ยิ่งไปกว่านั้นบริษัท Coursera (หนึ่งในผู้นำสถาบันการศึกษาออนไลน์) ได้เริ่มทดลองการให้นักเรียนตรวจผลงานของนักเรียนด้วยกันในบางครั้งที่สมองกลไม่สามารถตรวจได้ เช่นวิชาที่ต้องประเมินงานเขียน  ถือเป็นการ crowd-source ที่น่าสนใจมาก

นอกจากนี้ Online Education ก็ยังเป็น platform ที่เราสามารถทำการทดลองปรับเปลี่ยนบางส่วนของการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาคลาสให้ดีขึ้นอีกในอนาคตได้ดีกว่าอีกด้วย  การทำให้การเรียนการสอนมาอยู่ในโลกดิจิตัลจะทำให้เราเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับการเรียนรู้ของนักเรียนได้สะดวกและละเอียดขึ้น  ใน Online Education นั้น ทุกอย่างที่นักเรียนทำบนเว็บไซต์จะถูกบันทึกลงไปเป็นข้อมูลที่มีค่าอันมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการคลิ๊ก ความตรงต่อเวลา ความขยันและการวัดความเข้าใจในแต่ละช่วงของวิชานั้น ๆ  ข้อมูลเหล่านี้สามารถที่จะนำมาถูกวิเคราะห์เพื่อทำการพัฒนาคลาสนั้นต่อไปในอนาคตได้   ยิ่งไปกว่านั้น ในโลกออนไลน์เราสามารถควบคุมตัวแปรดิจิตอลได้มากมาย ในขณะที่การเรียนการสอนแบบ “สด” นั้นทำได้ยากเหลือเกิน

ในหลายประเทศที่การศึกษาระดับอุดมศึกษายังไปไม่ทั่วถึง การจะยกระดับให้ประชากรมีปริญญาตรีมากกขึ้นนั้นต้องใช้เงินและแรงงานอันมหาศาล  ลองนึกดูว่าประเทศอินเดียที่มีประชากรเป็นพันล้านคนจะต้องผลิตครูออกมากี่คนและจะต้องสร้างมหาวิทยาลัยอีกกี่แห่งถึงจะมีอัตราส่วนประชากรที่มีวุฒิการศึกษาอย่างที่ตัวเองตั้งโจทย์ไว้ได้?

ถามจริง ๆ ว่าโลกอันไม่เท่าเทียมกันใบนี้ของเราไม่ต้องการการศึกษาที่มีคุณภาพมากกว่าด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าแถมยังสามารถกระจายความรู้ไปได้ไกลกว่าหรือ ?

วิวัฒนาการของอาชีพครู

evolution ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านคงเคยมีประสบการณ์สมัยเรียนที่ไม่ค่อยน่าจดจำกับอาจารย์บางท่านทั้งในระดับมัธยมหรือในระดับมหาวิทยาลัยที่อาจจะมีตำแหน่งอวุโส มีชื่อเสียงโด่งดัง มีผลงานวิจัยดีเลิศ แต่กลับไม่สามารถถ่ายทอดความรู้ให้กับคุณได้ดีเท่าหรือไม่มีเวลาว่างเท่ากับอาจารย์สอนพิเศษที่ไม่ได้สังกัดกับสถาบันการศึกษา หรือไม่สามารถทำให้คุณเข้าใจเท่ากับการหาดูวิดีโออธิบายบน YouTube

นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเราลองคิดดูว่าการเรียนรู้มีมากมายหลายสไตล์ บางคนเป็น visual learner บางคนชอบเรียนเป็นกลุ่ม บางคนชอบเรียนคนเดียวกับคอมพิวเตอร์  ความ Hot ของตลาดเรียนพิเศษในบ้านเรานั้นก็เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่ฟ้องว่ามันมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลในห้องเรียนปกติของพวกเรา

ปัญหาคุณภาพการสอนในระดับอุดมศึกษาของหลายประเทศ ผมคิดว่ามันเป็นเพราะว่า 1) โปรแกรมการเรียนปริญญาเอกทั่วไปไม่ได้ถูกดีไซน์ให้เหล่าด๊อกเตอร์จบออกมาเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ที่ดีที่สุด แต่เป็นการฝึกให้คุณออกมาเป็นนักวิจัยต่อเติมความรู้เฉพาะด้านได้ดีที่สุดต่างหาก  2) การเลื่อนขั้นในระบบมหาวิทยาลัยในหลายประเทศนั้นให้น้ำหนักต่อผลงานวิจัยมากกว่าผลงานในด้านการสอนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน Major Research Universities  จากประสบการณ์ส่วนตัวและประสบการณ์ของเพื่อน ๆ ผมพบว่านี่เป็นเรื่องจริงในประเทศสหรัฐอเมริกา  ยิ่งเป็นวิชาที่ abstract มาก ๆ เช่นวิชาคณิตศาสตร์ขั้นสูง ยิ่งหาอาจารย์ที่มีความสามารถในถ่ายทอดความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ยาก สุดท้ายบางทีต้องไปลงท้ายกับการหาวิดีโอช่วยสอนใน Youtube ทั้ง ๆ ที่เราก็จ่ายค่าเล่าเรียนและค่าอยู่อาศัยให้อยู่ใกล้กับตัวมหาวิทยาลัยเป็นจำนวนไม่น้อย

เมื่อ Online Education สามารถเค้นเอาผู้ที่เผยแพร่ความรู้ได้เก่งที่สุดออกมาและเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ได้ดีกว่ามนุษย์ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องบังคับเหล่าอาจารย์ให้เริ่มกระบวนการเตรียมการสอนใหม่ทั้งหมดเพื่อไปยืนหน้าห้องอีกรอบเหมือนปีก่อน ๆ หากไม่จำเป็นจริง ๆ

ลองนึกดูว่าเราสามารถประหยัดเวลาของศาสตราจารย์และครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่เสียไปในการเตรียมการสอนและการยืนเลคเชอร์ต่อปีได้ปีละกี่ชั่วโมง กี่วัน หรือแม้กระทั่งเป็นเดือน ๆ ! ลองคิดง่าย ๆ ว่าถ้าหากมีครูสอนเลขวิชาแคลคูลัส 100,000 คนในโลก แล้วเทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถคัดวิธีการสอนแคลคูลัสที่เด็ดที่สุดมาได้ 5 แบบ (สำหรับเด็ก 5 ประเภท เป็นต้น)  และถ้าสมมุติว่าคลาสออนไลน์ 5 คลาสเหล่านี้สามารถผลิตเด็ก ๆ ที่ทำแคลคูลัสได้แม่นยำและไวกว่าเด็ก ๆ ที่เรียนคลาสแคลคูลัสปกติ

คำถามคือเราจะยังจะมีครูสอนแคลคูลัสไปเพื่ออะไรกัน ? สู้ให้ครูแคลคูลัสที่เหลือไปหาอาชีพอื่นหรือเปลี่ยนตำแหน่งภายในโรงเรียนไม่ดีกว่าหรือ ? จะมา “reinvent the wheel” กันทำไม ?  ส่วนเวลาของเหล่าศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยที่มีมากขึ้นนั้นก็จะสามารถที่จะเอามาลงทุนกับการทำวิจัยได้อย่างเต็มตัว เพื่อทำให้เกิดผลวิจัยอันมีค่าต่อสาขาวิชาและต่อสังคมได้ในเวลาที่สั้นลง

ความคิดที่ต้องการปกป้องความมั่นคงของอาชีพบางอาชีพในมรสุมของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นความคิดที่อ่อนโยนและมีเมตตาแต่เป็นความคิดที่ไม่ทำให้สังคมก้าวไปข้างหน้า  ในอนาคตที่ Online Education จะเข้ามามีอิทธิพลมากยิ่งขึ้น  บทบาทของเหล่าอาจารย์อาจจะต้องถูกเปลี่ยนไปในทิศทางที่ว่า ครูจะมีหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาในด้านการศึกษาหาความรู้ และเป็นผู้สร้างแรงจูงใจให้กับนักเรียนมากกว่าเป็นผู้เผยแพร่ความรู้ก็เป็นได้

นักเรียนประเภท 2 , 3 , 4 , …, n

9602545478_048121b4aa_z

จากการเป็นนักเรียนมาค่อนชีวิต มีหลายคำถามที่ข้องใจผมจริง ๆ …

  1. ทำไมนักเรียนถึงต้องไปนั่งในห้องใหญ่ ๆ ที่มองกระดานแทบไม่เห็นเพื่อฟัง lecture ตอน 9 โมงเช้าถึงจะสามารถ “เรียน” ได้ ? แล้วถ้านักเรียนบ้านไกลหรือต้องทำงานกะเช้าล่ะ?
  2. ทำไมนักเรียนทุกคนในห้องถึงต้องเรียน concept ก. ก่อน concept ข.  ?  แล้วถ้าเกิดบางคนเขาถนัดเรียน concept ข. ก่อนถึงจะเข้าใจ concept ก. ล่ะ?
  3. ทำไมนักเรียนทุกคนในห้องถึงต้องการ 1 คาบเท่ากันในการเรียนรู้ concept ก. ? แล้วถ้าบางคนต้องการ 3 คาบหรือแค่ครึ่งคาบล่ะ?
  4. ทำไมนักเรียนทุกคนต้องสอบตอนกลางภาค ? ทำไมสอบมันทุกครั้งที่เรียนรู้ concept ใหม่เลยไม่ได้ ?  เป็นเพราะว่าไม่มีแรงงานคุณภาพมาตรวจทุกวันหรือ ?

คำถามพวกนี้คือคำถามที่เกิดขึ้นในใจเวลาผมมองโมเดลการศึกษาแบบปัจจุบัน  มันเป็นระบบที่อยู่กับมนุษย์มานาน เพราะจริง ๆ แล้วการให้ครูหนึ่งคนยืนหน้ากระดานแล้วสอนคนอีกเป็นร้อยคนนั้นเคยถือว่า “คุ้ม” กับเวลาและทรัพยากรมนุษย์

แต่มันไม่ได้หมายความว่ามันเป็นระบบที่ดีที่สุดในศตวรรษนี้…ที่มีทั้งอินเตอร์เน็ต มีคอมพิวเตอร์ มีมือถือและมี “ผู้สอน” ที่มีคุณภาพให้เลือกอย่างล้นหลาม

Online Education สามารถที่จะเข้ามาเติมช่องโหว่เหล่านี้ได้ในบางโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าไปจนสามารถทำให้นักเรียนเรียนได้ตาม pace ของตัวเอง และสามารถให้สมองกลให้ feedback กับนักเรียนได้รวดเร็วทันใจกว่าระบบปัจจุบัน

อุปสรรค์ของ Online Education

804190044_c6624295f6_z

Online Education ยังเป็นอะไรที่ใหม่มากเมื่อเทียบกับระบบการ lecture หน้ากระดานดำซึ่งอยู่กับมนุษย์เรามานานกว่าห้าร้อยปีมาแล้ว  แน่นอนว่าต้องมีอุปสรรคมากมาย อาทิเช่น

  1. บางสิ่งไม่สามารถสอนกันผ่านจอได้ – ผมเชื่อว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ Online Education ไม่น่าจะสอนนักเรียนได้ดีเท่ากับการ “ไปโรงเรียน” และไปมีปฏิสัมพันธกับคนเป็น ๆ อาทิเช่น การโต้วาที การทำงานกันเป็นกลุ่ม และการ present ตัวเองในสถานการณ์ต่าง ๆ เป็นต้น  Soft Skills เหล่านี้แม้จะไม่มีวิชาเป็นตัวเป็นตนสอน แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความก้าวหน้าในชีวิตการงานและการเข้าสังคมเมื่อนักเรียนเหล่านี้เข้าสู่วัยทำงาน
  2. ความมุมานะเพื่อเรียนให้จบ – Online Education มีอุปสรรคสำคัญในการทำให้นักเรียนที่ลงทะเบียนเรียนนั้นอยู่เรียนจนจบหลักสูตร  งานวิจัยของ Perna et al. 2013 พบว่ามีเพียง 5% ของผู้ลงทะเบียนเรียนออนไลน์ที่จัดโดย University of Pennsylvania เท่านั้นที่เรียนจนจบคลาส  แต่จริง ๆ แล้วข้อนี้เป็นเรื่องธรรมชาติสำหรับการเรียนรู้รูปแบบใหม่ที่คนเรายังไม่คุ้น ในมหาวิทยาลัยที่ประเทศอเมริกา การลงทะเบียนไปเล่น ๆ ในช่วง “Course Shopping” แล้วค่อยดรอปนั้นถือว่าเป็นอะไรที่ธรรมดามาก
  3. การโกง – ในอนาคตคงมีเทคโนโลยีที่สามารถนำมาใช้ป้องกันการโกงข้อสอบออนไลน์ได้ แต่เทคโนโลยีเหล่านี้จะสามารถป้องกันการให้ผู้อื่นทำข้อสอบให้ได้จริง  ๆ หรือไม่คงต้องรอดูกันต่อไป
  4. ความน่าเชื่อถือของสถาบัน vs. ความสามารถที่แท้จริง – นี่คือปัญหาโลกแตกที่นักเศรษฐศาสตร์ต้องการวิเคราะห์ว่าคุณค่าของการศึกษาที่แท้จริงแล้วคือความสามารถหรือแค่สัญญาณที่นักเรียนต้องการส่งให้กับผู้ประกอบการเท่านั้น  Online Education จะเข้ามามีบทบางอย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อคลื่นลูกใหม่ลูกนี้สามารถซัดเข้าถึงตลาดแรงงานได้จริง ๆ และทำให้ผู้จ้างงานยอมรับใน “ตราประทับ” บนใบสมัครงานของนักเรียนออนไลน์ 

มองไปข้างหน้า

extinct

ในเศรษฐกิจโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วถึงขนาดที่ว่า low skill labor นั้นอาจจะสูญพันธุ์ไปจากหลายประเทศ เราจะเห็นความต้องการในการเพิ่มความรู้ความสามารถของแรงงานในทุก ๆ มุมของโลกใบนี้แน่นอน  ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มนักเรียนจากประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสการศึกษาระดับสูงหรือในกลุ่ม professionals ที่ต้องการเพิ่มความก้าวหน้าในอาชีพการงาน

คำถามคือ “ลูกค้า” กลุ่มใหม่ของตลาดการศึกษาจะเลือกลงทุนทุ่มเงินให้กับระบบเดิม ๆ  จะเรียนออนไลน์เพื่อชีวิตที่มีความยืดหยุ่นกว่า หรือจะ mix and match ระหว่างสองระบบนี้

คำตอบจะขึ้นอยู่กับว่า มหาวิทยาลัยต่าง ๆ จะโต้กลับด้วยวิธีใด ? โมเดลธุรกิจของสถาบัน Online Education จะสามารถทำเงินได้จริงหรือไม่ ? และสถาบัน Online จะสามารถจีบบริษัทยักใหญ่ให้รับผู้จบหลักสูตรออนไลน์ได้แค่ไหน ?

ในขณะนี้เราเห็นแล้วว่ามหาวิทยาลัยระดับสูงเริ่มมีการปรับเข็มทิศ เริ่มทำการเรียนการสอนแบบออนไลน์ด้วยตัวเองแล้วเนื่องจากสถาบันเหล่านี้มีทั้งทรัพยากรและแบรนด์ที่เอื้อต่อความสำเร็จในการทำ Online Education  และมองเห็นถึงข้อดีของการเรียนออนไลน์  แต่ในขณะเดียวกันเรายังไม่เห็นทีท่าว่าสถาบันออนไลน์จะสามารถทำเงินได้อย่างจริง ๆ จัง ๆ เมื่อเทียบกับโมเดลธุรกิจดั้งเดิมของมหาวิทยาลัย  การหา partner บริษัทชื่อดังมาเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ในโลกออนไลน์เพื่อเป็นการหล่อลื่นการเชื่อมต่อระหว่าง “ความรู้” กับ “รายได้” ก็จะเป็นอีกก้าวสำคัญต่อไปของสถาบันออนไลน์  ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Udacity เริ่มเปลี่ยนเข็มเบนไปหาบริษัทยักษ์ใหญ่เช่น Facebook และบริษัท Big Data ทั้งหลายเพื่อเป็นหุ้นส่วนผลิตถ่ายทำคลาสของเขาแล้ว   จุดนี้เป็นจุดที่สำคัญเพราะว่า ยิ่งสถาบันออนไลน์ทำให้นักเรียนเห็นประโยชน์ทางการเงินได้เท่าไร นักเรียนจะยิ่งเห็นคุณค่าของการเรียนออนไลน์มากขึ้น และจะยอมจ่ายเงินจำนวนมากในที่สุด

ในอีกสิบยี่สิบปีข้างหน้า เราคงจะได้เห็นนโยบายเมกะโปรเจ็คด้านการศึกษาในหลาย ๆ ประเทศที่การศึกษาในระดับอุดมศึกษายังไปไม่ทั่วถึงทุกท้องที่  ตลาดแรงงานโลกก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่น่าเชื่อเนื่องจากว่าแรงงานสามารถทำงานไปด้วยและหาความรู้กับผู้สอนระดับท๊อปไปด้วยในเวลาเดียวกันได้  ส่วนในเรื่องของการอยู่รอดนั้น มหาวิทยาลัยระดับท็อปกับระดับกลางเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้ ส่วนสถาบันระดับล่างหรือสถาบันที่ปิดหูปิดตาตัวเองและไม่ยอมรับในความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็จะค่อย ๆ สูญพันธุ์ไปเอง  แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลในแต่ละประเทศเห็นชอบและจะสนับสนุนการเรียนรู้ออนไลน์แค่ไหนด้วย  จุดเสี่ยงสำคัญที่ต้องระวังคือการที่นักการเมืองมักจะมองว่าการเรียนออนไลน์เป็นนโยบาย “สุดคุ้ม” ค่าใช่จ่ายต่ำอย่างเดียว  ทั้ง ๆ ที่จุดหมายที่แท้จริงของการศึกษาคือการพัฒนาความรู้และความสามารถของมนุษย์

แน่นอนว่าการแพร่กระจายความรู้ไปได้ทั่วราชอาณาจักรด้วยราคาที่ต่ำนั้นสำคัญ แต่ต้องไม่ลืมเรื่องคุณภาพของการศึกษาครับ

 

Online Education การศึกษา ออนไลน์


Previous Next

Leave a Reply

Your email address will not be published.

Cancel Post Comment

keyboard_arrow_up