ไม่น่าเชื่อว่าขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนเรียนออนไลน์ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคนแล้ว หลายคนเห็นว่าการเรียนออนไลน์คืออนาคตของการศึกษาเนื่องจากเป็นการเผยแพร่ความรู้โดยผู้สอนที่มีประสิทธิภาพที่สุดในรูปแบบที่มีค่าใช้จ่ายต่อหัวต่ำที่สุด มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ถึงกับผวาเมื่อนึกถึงบทบาทของตัวเองในโลกแห่งดิจิตัลในอนาคต ถึงกระนั้นก็ตามในพักหลังนี้เริ่มมีการถกเถียงถึงข้อเสียของ Online Education ว่าไม่สามารถทดแทนสิ่งที่มหาวิทยาลัยมอบให้กับนักเรียนได้ มิหนำซ้ำยังอาจเป็นการทำลายความมั่นคงของอาชีพศาสตราจารย์และโมเดลธุรกิจดั้งเดิมของสถาบันการศึกษาอันเก่าแก่อีกด้วย คลื่นลูกใหม่ลูกนี้จะมาเปลี่ยนอนาคตของการศึกษา มหาวิทยาลัย คณาจารย์และเหล่านักเรียนรุ่นลูกหลานของเราอย่างไร ? เป็นคำถามที่น่าคิดยิ่งนัก
สิ่งที่เป็นจุดเด่นที่สุดของ Online Education คือโอกาสในการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มคุณภาพของการเรียนการสอนในบางสาขาและการลดค่าใช้จ่าย
เป็นเรื่องปกติที่สถาบันที่จะสามารถทำ Online Education ได้ดีนั้นจะต้องเจอกับ Fixed Cost ที่สูงมากเพราะว่ามีความจำเป็นที่จะต้องลงทุนในระบบ การดีไซน์คลาส และการถ่ายทำการเรียนการสอนทั้งหมด แต่ทว่า Online Education นั้นได้เปรียบโมเดลการศึกษาแบบเก่าตรงที่ว่าโมเดลนี้มีค่าใช้จ่ายต่อหัวนักเรียนที่ต่ำกว่ามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับในกรณีของ MOOCs (Massive Open Online Courses) ที่มีจำนวนนักเรียนต่อคลาสได้เป็นแสน ๆ คน
ข้อได้เปรียบข้อนี้ได้มีผลกระทบทำให้ค่าเล่าเรียนออนไลน์ที่ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดในกรณีของโปรแกรมปริญญาโทสาขาcomputer science ที่สถาบันเทคโนโลยีจอร์เจีย (ติด Top 10 ด้านคอมพิวเตอร์) ซึ่งเรียกค่าเล่าเรียนเพียงแค่ 1/6 ของค่าเล่าเรียนหลักสูตรปกติที่ต้องเข้าไปเรียนด้วยตัวเป็น ๆ
ในขณะเดียวกัน ค่าเล่าเรียนระดับมหาวิทยาลัยในประเทษสหรัฐอเมริกาพุ่งขึ้นสูงมากว่า 28% ในรอบสิบปีที่ผ่านมา ค่าเล่าเรียนออนไลน์นั้นมีแนวโน้มที่จะมาตัดราคาแถมยังมีโอกาสที่จะเพิ่มคุณภาพของการเรียนรู้ได้มากกว่าในบางสายวิชาอีกด้วย
สาเหตุสำคัญที่คุณภาพของการเรียนรู้จะสูงขึ้นคือแรงจูงใจในการผลิตผลงานคุณภาพที่อาจจะไม่มีตัวตนอยู่ในโครงสร้างของสถาบันการศึกษาออฟไลน์
เนื่องจากขนาดของตลาดนักเรียนที่กว้างกว่าตลาดปกติที่มหาวิทยาลัยเป็นผู้เล่นดั้งเดิมอยู่ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่สถาบันออนไลน์เหล่านี้จะต้องเลือก “ผู้สอน” ที่เก่งที่สุดเท่าที่เขาจะหาได้ ถ่ายทำทีเดียวจะได้คุ้มที่สุด ไอเดียนี้ไม่ได้ต่างจากการไปเรียนพิเศษกับทีวีแถวสยามในบ้านเรานัก ถือเป็นการเค้นเอา “หัวกะทิ” ในหมู่ครูบาอาจารย์มาเป็นผู้กระจายความรู้ออนไลน์นั่นเอง
อีกหนึ่งข้อได้เปรียบของ Online Education คือความเร็วและความมีประสิทธิภาพในการตรวจการบ้านและข้อสอบซึ่งโดยปกติแล้วเป็นงานที่ใช้เวลาและน่าเบื่อหน่ายสำหรับครูอีกด้วย แต่สมองกลไม่เคยเบื่อ จะให้ตรวจข้อสอบข้อเดิมเป็นล้าน ๆ รอบก็ยังยิ้มได้ ยิ่งไปกว่านั้นบริษัท Coursera (หนึ่งในผู้นำสถาบันการศึกษาออนไลน์) ได้เริ่มทดลองการให้นักเรียนตรวจผลงานของนักเรียนด้วยกันในบางครั้งที่สมองกลไม่สามารถตรวจได้ เช่นวิชาที่ต้องประเมินงานเขียน ถือเป็นการ crowd-source ที่น่าสนใจมาก
นอกจากนี้ Online Education ก็ยังเป็น platform ที่เราสามารถทำการทดลองปรับเปลี่ยนบางส่วนของการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาคลาสให้ดีขึ้นอีกในอนาคตได้ดีกว่าอีกด้วย การทำให้การเรียนการสอนมาอยู่ในโลกดิจิตัลจะทำให้เราเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับการเรียนรู้ของนักเรียนได้สะดวกและละเอียดขึ้น ใน Online Education นั้น ทุกอย่างที่นักเรียนทำบนเว็บไซต์จะถูกบันทึกลงไปเป็นข้อมูลที่มีค่าอันมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการคลิ๊ก ความตรงต่อเวลา ความขยันและการวัดความเข้าใจในแต่ละช่วงของวิชานั้น ๆ ข้อมูลเหล่านี้สามารถที่จะนำมาถูกวิเคราะห์เพื่อทำการพัฒนาคลาสนั้นต่อไปในอนาคตได้ ยิ่งไปกว่านั้น ในโลกออนไลน์เราสามารถควบคุมตัวแปรดิจิตอลได้มากมาย ในขณะที่การเรียนการสอนแบบ “สด” นั้นทำได้ยากเหลือเกิน
ในหลายประเทศที่การศึกษาระดับอุดมศึกษายังไปไม่ทั่วถึง การจะยกระดับให้ประชากรมีปริญญาตรีมากกขึ้นนั้นต้องใช้เงินและแรงงานอันมหาศาล ลองนึกดูว่าประเทศอินเดียที่มีประชากรเป็นพันล้านคนจะต้องผลิตครูออกมากี่คนและจะต้องสร้างมหาวิทยาลัยอีกกี่แห่งถึงจะมีอัตราส่วนประชากรที่มีวุฒิการศึกษาอย่างที่ตัวเองตั้งโจทย์ไว้ได้?
ถามจริง ๆ ว่าโลกอันไม่เท่าเทียมกันใบนี้ของเราไม่ต้องการการศึกษาที่มีคุณภาพมากกว่าด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าแถมยังสามารถกระจายความรู้ไปได้ไกลกว่าหรือ ?
ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านคงเคยมีประสบการณ์สมัยเรียนที่ไม่ค่อยน่าจดจำกับอาจารย์บางท่านทั้งในระดับมัธยมหรือในระดับมหาวิทยาลัยที่อาจจะมีตำแหน่งอวุโส มีชื่อเสียงโด่งดัง มีผลงานวิจัยดีเลิศ แต่กลับไม่สามารถถ่ายทอดความรู้ให้กับคุณได้ดีเท่าหรือไม่มีเวลาว่างเท่ากับอาจารย์สอนพิเศษที่ไม่ได้สังกัดกับสถาบันการศึกษา หรือไม่สามารถทำให้คุณเข้าใจเท่ากับการหาดูวิดีโออธิบายบน YouTube
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเราลองคิดดูว่าการเรียนรู้มีมากมายหลายสไตล์ บางคนเป็น visual learner บางคนชอบเรียนเป็นกลุ่ม บางคนชอบเรียนคนเดียวกับคอมพิวเตอร์ ความ Hot ของตลาดเรียนพิเศษในบ้านเรานั้นก็เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่ฟ้องว่ามันมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลในห้องเรียนปกติของพวกเรา
ปัญหาคุณภาพการสอนในระดับอุดมศึกษาของหลายประเทศ ผมคิดว่ามันเป็นเพราะว่า 1) โปรแกรมการเรียนปริญญาเอกทั่วไปไม่ได้ถูกดีไซน์ให้เหล่าด๊อกเตอร์จบออกมาเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ที่ดีที่สุด แต่เป็นการฝึกให้คุณออกมาเป็นนักวิจัยต่อเติมความรู้เฉพาะด้านได้ดีที่สุดต่างหาก 2) การเลื่อนขั้นในระบบมหาวิทยาลัยในหลายประเทศนั้นให้น้ำหนักต่อผลงานวิจัยมากกว่าผลงานในด้านการสอนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน Major Research Universities จากประสบการณ์ส่วนตัวและประสบการณ์ของเพื่อน ๆ ผมพบว่านี่เป็นเรื่องจริงในประเทศสหรัฐอเมริกา ยิ่งเป็นวิชาที่ abstract มาก ๆ เช่นวิชาคณิตศาสตร์ขั้นสูง ยิ่งหาอาจารย์ที่มีความสามารถในถ่ายทอดความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ยาก สุดท้ายบางทีต้องไปลงท้ายกับการหาวิดีโอช่วยสอนใน Youtube ทั้ง ๆ ที่เราก็จ่ายค่าเล่าเรียนและค่าอยู่อาศัยให้อยู่ใกล้กับตัวมหาวิทยาลัยเป็นจำนวนไม่น้อย
เมื่อ Online Education สามารถเค้นเอาผู้ที่เผยแพร่ความรู้ได้เก่งที่สุดออกมาและเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ได้ดีกว่ามนุษย์ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องบังคับเหล่าอาจารย์ให้เริ่มกระบวนการเตรียมการสอนใหม่ทั้งหมดเพื่อไปยืนหน้าห้องอีกรอบเหมือนปีก่อน ๆ หากไม่จำเป็นจริง ๆ
ลองนึกดูว่าเราสามารถประหยัดเวลาของศาสตราจารย์และครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่เสียไปในการเตรียมการสอนและการยืนเลคเชอร์ต่อปีได้ปีละกี่ชั่วโมง กี่วัน หรือแม้กระทั่งเป็นเดือน ๆ ! ลองคิดง่าย ๆ ว่าถ้าหากมีครูสอนเลขวิชาแคลคูลัส 100,000 คนในโลก แล้วเทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถคัดวิธีการสอนแคลคูลัสที่เด็ดที่สุดมาได้ 5 แบบ (สำหรับเด็ก 5 ประเภท เป็นต้น) และถ้าสมมุติว่าคลาสออนไลน์ 5 คลาสเหล่านี้สามารถผลิตเด็ก ๆ ที่ทำแคลคูลัสได้แม่นยำและไวกว่าเด็ก ๆ ที่เรียนคลาสแคลคูลัสปกติ
คำถามคือเราจะยังจะมีครูสอนแคลคูลัสไปเพื่ออะไรกัน ? สู้ให้ครูแคลคูลัสที่เหลือไปหาอาชีพอื่นหรือเปลี่ยนตำแหน่งภายในโรงเรียนไม่ดีกว่าหรือ ? จะมา “reinvent the wheel” กันทำไม ? ส่วนเวลาของเหล่าศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยที่มีมากขึ้นนั้นก็จะสามารถที่จะเอามาลงทุนกับการทำวิจัยได้อย่างเต็มตัว เพื่อทำให้เกิดผลวิจัยอันมีค่าต่อสาขาวิชาและต่อสังคมได้ในเวลาที่สั้นลง
ความคิดที่ต้องการปกป้องความมั่นคงของอาชีพบางอาชีพในมรสุมของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นความคิดที่อ่อนโยนและมีเมตตาแต่เป็นความคิดที่ไม่ทำให้สังคมก้าวไปข้างหน้า ในอนาคตที่ Online Education จะเข้ามามีอิทธิพลมากยิ่งขึ้น บทบาทของเหล่าอาจารย์อาจจะต้องถูกเปลี่ยนไปในทิศทางที่ว่า ครูจะมีหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาในด้านการศึกษาหาความรู้ และเป็นผู้สร้างแรงจูงใจให้กับนักเรียนมากกว่าเป็นผู้เผยแพร่ความรู้ก็เป็นได้
จากการเป็นนักเรียนมาค่อนชีวิต มีหลายคำถามที่ข้องใจผมจริง ๆ …
คำถามพวกนี้คือคำถามที่เกิดขึ้นในใจเวลาผมมองโมเดลการศึกษาแบบปัจจุบัน มันเป็นระบบที่อยู่กับมนุษย์มานาน เพราะจริง ๆ แล้วการให้ครูหนึ่งคนยืนหน้ากระดานแล้วสอนคนอีกเป็นร้อยคนนั้นเคยถือว่า “คุ้ม” กับเวลาและทรัพยากรมนุษย์
แต่มันไม่ได้หมายความว่ามันเป็นระบบที่ดีที่สุดในศตวรรษนี้…ที่มีทั้งอินเตอร์เน็ต มีคอมพิวเตอร์ มีมือถือและมี “ผู้สอน” ที่มีคุณภาพให้เลือกอย่างล้นหลาม
Online Education สามารถที่จะเข้ามาเติมช่องโหว่เหล่านี้ได้ในบางโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าไปจนสามารถทำให้นักเรียนเรียนได้ตาม pace ของตัวเอง และสามารถให้สมองกลให้ feedback กับนักเรียนได้รวดเร็วทันใจกว่าระบบปัจจุบัน
Online Education ยังเป็นอะไรที่ใหม่มากเมื่อเทียบกับระบบการ lecture หน้ากระดานดำซึ่งอยู่กับมนุษย์เรามานานกว่าห้าร้อยปีมาแล้ว แน่นอนว่าต้องมีอุปสรรคมากมาย อาทิเช่น
ในเศรษฐกิจโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วถึงขนาดที่ว่า low skill labor นั้นอาจจะสูญพันธุ์ไปจากหลายประเทศ เราจะเห็นความต้องการในการเพิ่มความรู้ความสามารถของแรงงานในทุก ๆ มุมของโลกใบนี้แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มนักเรียนจากประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสการศึกษาระดับสูงหรือในกลุ่ม professionals ที่ต้องการเพิ่มความก้าวหน้าในอาชีพการงาน
คำถามคือ “ลูกค้า” กลุ่มใหม่ของตลาดการศึกษาจะเลือกลงทุนทุ่มเงินให้กับระบบเดิม ๆ จะเรียนออนไลน์เพื่อชีวิตที่มีความยืดหยุ่นกว่า หรือจะ mix and match ระหว่างสองระบบนี้
คำตอบจะขึ้นอยู่กับว่า มหาวิทยาลัยต่าง ๆ จะโต้กลับด้วยวิธีใด ? โมเดลธุรกิจของสถาบัน Online Education จะสามารถทำเงินได้จริงหรือไม่ ? และสถาบัน Online จะสามารถจีบบริษัทยักใหญ่ให้รับผู้จบหลักสูตรออนไลน์ได้แค่ไหน ?
ในขณะนี้เราเห็นแล้วว่ามหาวิทยาลัยระดับสูงเริ่มมีการปรับเข็มทิศ เริ่มทำการเรียนการสอนแบบออนไลน์ด้วยตัวเองแล้วเนื่องจากสถาบันเหล่านี้มีทั้งทรัพยากรและแบรนด์ที่เอื้อต่อความสำเร็จในการทำ Online Education และมองเห็นถึงข้อดีของการเรียนออนไลน์ แต่ในขณะเดียวกันเรายังไม่เห็นทีท่าว่าสถาบันออนไลน์จะสามารถทำเงินได้อย่างจริง ๆ จัง ๆ เมื่อเทียบกับโมเดลธุรกิจดั้งเดิมของมหาวิทยาลัย การหา partner บริษัทชื่อดังมาเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ในโลกออนไลน์เพื่อเป็นการหล่อลื่นการเชื่อมต่อระหว่าง “ความรู้” กับ “รายได้” ก็จะเป็นอีกก้าวสำคัญต่อไปของสถาบันออนไลน์ ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Udacity เริ่มเปลี่ยนเข็มเบนไปหาบริษัทยักษ์ใหญ่เช่น Facebook และบริษัท Big Data ทั้งหลายเพื่อเป็นหุ้นส่วนผลิตถ่ายทำคลาสของเขาแล้ว จุดนี้เป็นจุดที่สำคัญเพราะว่า ยิ่งสถาบันออนไลน์ทำให้นักเรียนเห็นประโยชน์ทางการเงินได้เท่าไร นักเรียนจะยิ่งเห็นคุณค่าของการเรียนออนไลน์มากขึ้น และจะยอมจ่ายเงินจำนวนมากในที่สุด
ในอีกสิบยี่สิบปีข้างหน้า เราคงจะได้เห็นนโยบายเมกะโปรเจ็คด้านการศึกษาในหลาย ๆ ประเทศที่การศึกษาในระดับอุดมศึกษายังไปไม่ทั่วถึงทุกท้องที่ ตลาดแรงงานโลกก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่น่าเชื่อเนื่องจากว่าแรงงานสามารถทำงานไปด้วยและหาความรู้กับผู้สอนระดับท๊อปไปด้วยในเวลาเดียวกันได้ ส่วนในเรื่องของการอยู่รอดนั้น มหาวิทยาลัยระดับท็อปกับระดับกลางเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้ ส่วนสถาบันระดับล่างหรือสถาบันที่ปิดหูปิดตาตัวเองและไม่ยอมรับในความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็จะค่อย ๆ สูญพันธุ์ไปเอง แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลในแต่ละประเทศเห็นชอบและจะสนับสนุนการเรียนรู้ออนไลน์แค่ไหนด้วย จุดเสี่ยงสำคัญที่ต้องระวังคือการที่นักการเมืองมักจะมองว่าการเรียนออนไลน์เป็นนโยบาย “สุดคุ้ม” ค่าใช่จ่ายต่ำอย่างเดียว ทั้ง ๆ ที่จุดหมายที่แท้จริงของการศึกษาคือการพัฒนาความรู้และความสามารถของมนุษย์
แน่นอนว่าการแพร่กระจายความรู้ไปได้ทั่วราชอาณาจักรด้วยราคาที่ต่ำนั้นสำคัญ แต่ต้องไม่ลืมเรื่องคุณภาพของการศึกษาครับ
Recent Comments