ปกติแล้วเวลาเราลงทุนในการศึกษา เรามักหวังผลตอบแทนในด้านหน้าที่การงานและรายได้ในอนาคต
หากแต่ว่าบางที “ของแถม” หรือ spillover effects จากการลงทุนในศึกษาต่อสังคมรอบๆ ตัวเรานั้นอาจมีค่ารวมกันแล้วมากกว่าผลตอบแทนส่วนตัวที่แต่ละคนได้รับจากระดับการศึกษาของตนอีกก็เป็นได้
คงไม่มีใครเถียงว่าหากมองแบบกว้างๆ แล้วโดยเฉลี่ยแล้วคนที่มีการศึกษามากกว่าจะหารายได้ได้สูงกว่าคนที่ไม่มีการศึกษา จากงานวิจัยจำนวนนับไม่ถ้วนในประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา นักเศรษฐศาสตร์เห็นตรงกันว่าการเพิ่มจำนวนปีของการสำเร็จการศึกษามากขึ้น 1 ปี จะทำให้เกิดรายได้ต่อปีเพิ่มขึ้นประมาณ 8 ถึง 12 เปอร์เซ็นต์
พูดง่ายๆ คือประโยชน์ทางตรงต่อบุคคลที่ยอมสละเวลาอันแสนสนุกและเงินทองของพ่อแม่ไปเข้าเรียนหลายปีนั้นชัดเจน
แต่ที่เรายังไม่ทราบแน่ชัดคือสิ่งอื่นๆ ที่การศึกษาของบุคคลเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดผลกระทบได้ เพราะว่าการลงทุนเพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถในช่วงเวลาหลายสิบปีนั้นมันอาจทำให้คุณเป็นพลเมืองที่แตกต่าง มีความคิดและพฤติกรรมที่แตกต่างจากคนอื่นที่ไม่ได้เข้าเรียนในหลายมิติ ไม่ใช่แค่ว่ามีทักษะทางการทำงานดีขึ้นอย่างเดียว การศึกษายังอาจทำให้คุณดูแลสุขภาพคุณได้ดีขึ้น เลี้ยงบุตรหลานได้ดีขึ้น มีโอกาสก่ออาชญากรรมน้อยลง เป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น ฯลฯ
ที่เรื่องนี้สำคัญนั้นเป็นเพราะว่าหากผลกระทบ “นอกตลาดแรงงาน” เป็นผลกระทบทางบวกและมีผลกระทบรุนแรง บางทีสังคมอาจจะต้องเพิ่มการอุดหนุนและสนับสนุนการศึกษาให้มากขึ้นกว่าที่เคยคิดไว้
บทความนี้จะชี้ให้เห็นถึงผลกระทบนอกตลาดที่น่าสนใจในมิติของ สุขภาพ อาชญากรรม และความเป็นพลเมือง
***ปล. การศึกษาในบทความนี้จะขอพูดถึงการศึกษาในมุมมองที่กว้างที่สุด คือเป็นแค่การปูพื้นฐานทำให้คนเราอ่านออกเขียนได้ มีทักษะในการเป็นมนุษย์ในยุคสมัยใหม่ มี cognitive skills ระดับหนึ่ง ไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องเป็นหลักสูตรไหน วิชาอะไร
มีการประเมินไว้ว่าชีวิตชาวอเมริกันหนึ่งคนมีมูลค่าทางสถิติประมาณ 6-9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
หากการศึกษาสามารถช่วยชีวิตคนหรือต่อชีวิตช่วงที่คนเราทำงานเป็นแรงงานให้กับเศรษฐกิจได้ออกไปได้ด้วยวิธีอ้อมๆ แค่ไม่กี่เดือน ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจอันมหาศาล
ทุนมนุษย์ในสังคมนั้นสามารถแบ่งออกแบบหยาบๆ ได้เป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือมันสมอง อีกส่วนหนึ่งคือศักยภาพทางร่างกายหรือสุขภาพ การศึกษาที่ดีนั้นทุกคนทราบดีว่ามันมีผลกระทบเต็มๆ ต่อส่วนแรกที่เป็นมันสมอง ในส่วนที่สองนั้นนักเศรษฐศาสตร์หลายต่อหลายสมัยมีความสงสัยว่าการที่เรามีโอกาสได้ร่ำเรียนนั้นมันทำให้เราดูแลสุขภาพเราดีขึ้นแค่ไหนหากไม่รวมผลจากปัจจัยอื่นๆ ในชีวิต เช่น พันธุกรรม หรือรายได้
คำถามนี้น่าสนใจและมีความสำคัญมากเพราะว่าสุขภาพของคุณไม่ใช่ของๆ คุณคนเดียว
การที่การศึกษาทำให้คุณสุขภาพดี นอกจากคุณจะเป็นแรงงานที่แข็งขัน ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยตลอดเวลาแล้ว คุณยังไม่เป็นภาระทางสังคมด้วย หนึ่งในเหตุผลคือ คุณจะไม่แพร่กระจาย “ความป่วย” ให้กับเพื่อนร่วมสังคมบ่อยครั้งเท่ากับคนที่สุขภาพแย่ตลอดเวลา (นึงถึงการไอจามกับการสูบบุหรี่มือสอง)
วิธีคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่นักเศรษฐศาสตร์โนเบล แกรี่ เบกเกอร์ คือการให้คิดว่า มนุษย์เราต่างทำตัวเป็นโรงงานเพื่อทำการ “ผลิต” สินค้าและบริการจำนวนมากมายออกมาในสังคม ไม่ว่าจะเป็น ความมีน้ำใจ ความสามารถในการล้างจาน หรือความเป็นนักเลง
หนึ่งในสินค้าเหล้านั้นก็คือสินค้าที่เราเรียกกันว่า “สุขภาพ” และมันเป็นไปได้อย่างมากที่การศึกษาจะทำให้มนุษย์เหล่านี้สามารถผลิต “สุขภาพ” ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่ามนุษย์ที่ไม่มีการศึกษา จึงมีข้อสันนิษฐานเกิดขึ้นมามากมาย เช่น
งานวิจัยหลายชิ้นพบว่าการศึกษามีผลต่อสุขภาพจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นผลลัพธ์ต่ออายุขัย ต่อพฤติกรรมในชีวิตประจำวันเช่น การออกกำลังกายหรือสูบบุหรี่ ไปจนถึงการเข้าถึงและเลือกใช้ความรู้ทางการแพทย์ใหม่ๆ ตัวอย่างที่น่าสนใจคืองานวิจัยในประเทศยูกันดาซึ่งพบว่ามีความเปลี่ยนแปลงในระดับการศึกษาในหมู่คนที่ติดเชื้อ HIV อย่างมากหลังจากที่รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายรณรงค์ให้ผู้คนตระหนักถึงอันตรายของเชื้อ HIV มาเป็นเวลากว่าสิบปี ในช่วงปี ค.ศ. 1990 นั้นนักวิจัยไม่พบความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างระดับการศึกษากับการติดเชื้อ แต่ภายหลังในปีค.ศ. 2000 การศึกษาที่เพิ่มขึ้นทำให้ผู้ที่มีการศึกษาติดเชื้อ HIV น้อยลงและมีการใช้ถุงยางอนามัยมากขึ้น อีกหนึ่งตัวอย่างสำคัญคืองานวิจัยของ ดร. ณัฐวุฒิ เผ่าทวี ที่พบว่าการเรียนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปีจะสามารถลดโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้ถึง 7-10 เปอร์เซ็นต์ จุดเด่นของงานวิจัยนี้คือการที่ผลลัพธ์ทางสุขภาพนั้นเป็นผลลัพธ์ที่แท้จริง ไม่ใช่การตอบ survey สุขภาพที่อาจเกิดความไม่เที่ยงได้
ที่ความสัมพันธ์ระหว่างการศึกษากับอาชญากรรมสำคัญนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าไม่มีสังคมไหนที่ต้องการอาชญากรรม อาชญากรรมมีต้นทุนและมูลค่าความสูญเสียสูง ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นการฆาตกรรมมีต้นทุนต่อสังคมราว 8 ล้านเหรียญสหรัฐ และบางแห่งหากเราคิดค่าดำเนินคดี ค่าสืบสวน และค่าอื่นๆ นอกเหนือจาก productivity loss แล้วจะขึ้นไปสูงถึง 17.25 ล้านเหรียญสหรัฐ เลยทีเดียว
อีกเหตุผลหนึ่งที่ความสัมพันธ์ระหว่างการศึกษากับอาชญากรรมมีความสำคัญเป็นเพราะว่ามาตรการในการลดอัตราการเกิดอาชญากรรมนั้นมีหลายวิธี เช่น การเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ตำรวจ สร้างสถานีตำรวจ เพิ่มความรุนแรงของโทษ ซึ่งแต่ละวิธีมีค่าใช้จ่ายและความมีประสิทธิภาพไม่เท่ากัน เว็บไซต์นี้มีเครื่องคิดเลขอาชญากรรมให้ลองคำนวนดูเล่นๆ ว่าหากเราเพิ่ม/ลดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกี่นายในเมือง Los Angeles โดยเฉลี่ยแล้วจะเพิ่ม/ลดจำนวนอาชญากรรมและค่าเสียหายได้เท่าไหร่ต่อปี ดูตัวเลขแล้วใจหาย
หากเราย้อนกลับไปที่วิธีคิดของแกรี เบกเกอร์ ว่าคนเราเป็นโรงงานผลิตสินค้าหลายๆ อย่างออกมาในสังคม สินค้าชื่อว่า “อาชญากรรม” ก็สามารถเป็นหนึ่งในสินค้าเหล่านั้นได้
ในไม่กี่ปีที่ผ่านมานักเศรษฐศาสตร์หลายฝ่ายต่างเสนอแนวคิดที่พยายามค้นหาช่องทางและอธิบายว่าการศึกษานั้นจะสามารถมีผลกระทบต่อการตัดสินใจก่ออาชญากรรมได้อย่างไร ยกตัวอย่าง เช่น
หากแนวคิดแรกเป็นเรื่องจริง การพัฒนาคุณภาพโรงเรียนเพื่อเชื่อมต่อกับตลาดแรงงานจะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะการเพิ่มคุณภาพโรงเรียนนั้นจะทำให้เด็กๆ กลุ่มที่แต่เดิมมีทักษะในระดับที่ต่ำกว่าเพื่อนและมองไม่ค่อยเห็นอนาคตให้มองเห็นอนาคตที่ดีขึ้น เนื่องจากตัวเขาเองจะมีทักษะที่ดีขึ้นและจะมีแนวทางในการหาเงินมากขึ้นได้เมื่อเรียนจบ เมื่อเป็นเช่นนี้เด็กๆ กลุ่มนี้จะไม่คิดสั้นก่ออาชญากรรมมากเท่าเดิม
อีกเรื่องสำคัญคือนโยบายที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะจริงๆ แบบนี้จะมีผลกระทบระยะยาวต่ออัตราการเกิดอาชญากรรมที่ยั่งยืนกว่านโยบายระยะสั้นไสตล์ประชานิยมอย่างเช่นการปรับบังคับเพิ่มเงินเดือนของแรงงานอายุน้อย เพราะว่าเมื่อนโยบายเพิ่มเงินเดือนระยะสั้น “หมดเขต” คนอายุน้อยที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงอาจจะหันกลับไปง่วนกับการก่ออาชญากรรม เนื่องจากว่าทักษะจริงๆ ของพวกเขาไม่ได้ถูกพัฒนา นโยบายระยะสั้นแบบนี้จึงเป็นแค่การสับเปลี่ยนการหมุนเวียนของเงินระหว่างอนาคตกับปัจจุบันเท่านั้น
งานวิจัยคุณภาพของ David Deming เผยให้เห็นถึงความสำคัญของคุณภาพของโรงเรียนต่อการเกิดอาชญากรรมในหมู่วัยรุ่นอเมริกันในเขตโรงเรียน Charlotte-Mecklenburg ที่เคยมีการสุ่มล๊อตเตอรี่ว่าเด็กคนไหนจะได้เข้าโรงเรียนที่ตนเลือกไว้หรือไม่ งานวิจัยนี้พบว่า 7 ปีให้หลังจากการสุ่มล๊อตเตอรี่ เด็กๆ กลุ่มที่ถูกล๊อตเตอรี่และได้ไปโรงเรียนที่ตนเลือกไว้อันดับแรก (ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วมีคุณภาพกว่า) เฉลี่ยแล้วถูกตำรวจจับและใช้เวลาในคุกน้อยกว่าเด็กๆ กลุ่มที่ไม่ได้เข้าโรงเรียนที่ตนเลือกไว้ อีกหนึ่งงานวิจัยคล้ายๆ กันในเมืองชิคาโกก็พบว่าการได้ไปโรงเรียนคณภาพดีกว่านั้นลดจำนวนนักเรียนเกรด 9 ลงได้กว่า 60 เปอร์เซ็นต์
ทั้งหมดนี้จริงๆ แล้วก็ขึ้นอยู่กับประเภทของอาชญากรรมด้วย ที่กล่าวไว้ด้านบนนั้นพูดถึงอาชญากรรมที่ไม่จำเป็นต้องใช้มันสมองมากนัก เนื่องจากว่ายังมีอาชญากรรมอีกหลายประเภทที่เราอาจมองได้ว่ายิ่งคนเรามีทักษะบางประเภทสูง (ที่มาจากการศึกษาระดับสูง) อาชญากรรมประเภทเหล่านี้ยิ่งอาจเป็นทางเลือกที่ไม่เลวนัก เช่น การหลอกลวง การทำตัวเป็น serial killer ที่ท้าทายตำรวจ หรือการแฮ็คข้อมูล เพราะคนเหล่านี้อาจมองว่ายิ่งทักษะตนดี ยิ่งทำง่าย ยิ่งมีโอกาสที่จะมีคนฉลาดพอที่จะจับพวกเขาได้ต่ำลง
Milton Friedman นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังเคยเขียนไว้ว่า:
“A stable and democratic society is impossible without a minimum degree of literacy and knowledge on the part of most citizens and without widespread acceptance of some common set of values.”
อ่านแล้วหลายคนอาจจะไม่เห็นด้วย เนื่องจากแต่ละคนตีความคำว่า “ประชาธิปไตย” ต่างกัน บทความนี้ขอไม่พูดถึงนิยามอันหลากหลายของคำๆ นี้ (ซึ่งผมเคยเขียนเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยเมื่อเทียบกับของกรีกโบราณเอาไว้แล้วที่นี่) แต่จะพูดถึงสังคมประชาธิปไตยแบบคร่าวๆ อย่างที่พบเห็นได้ในโลกตะวันตกทุกวันนี้
ทำไมการศึกษาถึงจะมามีความสำคัญต่อการเป็นพลเมืองที่ดี ไม่ว่าจะเป็นพลเมืองในระบอบการปกครองประเภทใดก็ตาม? มีนักคิดมากมายที่ให้เหตุผลไว้ดังต่อไปนี้
ผมคิดว่าผลลัพธ์เหล่านี้คงขึ้นอยู่กับระบบการเลือกตั้งและสถานการ์ณการเมืองที่แตกต่างกันในแต่ละท้องที่ด้วย ยกตัวอย่างเช่น งานวิจัยของ Thomas Dee พบว่าการศึกษาทำให้พลเมืองออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งมากขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ในขณะเดียวกันงานวิจัยชิ้นนี้พบผลลัพธ์เดียวกันในหมู่พลเมืองอเมริกันแต่กลับไม่พบในพลเมืองชาวอังกฤษ ทีมผู้วิจัยคิดว่าที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะว่าระบบเลือกตั้งในอเมริกานั้นค่อนข้างซับซ้อน มีด่านปราการมากมายก่อนที่ประชาชนจะสามารถลงทะเบียนเพื่อไปเลือกตั้งได้ การศึกษาจึงอาจเป็นตัวช่วยให้พลเมืองบางส่วนฝ่าด่านพวกนี้เข้าไปใช้สิทธิ์ได้ แต่ในประเทศอังกฤษนั้นปกติมีการช่วยเหลือให้พลเมืองไปลงทะเบียนเลือกตั้งมากกว่า จึงไม่พบผลลัพธ์นี้ในประเทศอังกฤษ อีกตัวอย่างคืองานวิจัยนี้ที่พบว่าการศึกษาแปรผกผันกับการไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งในประเทศอียิปต์ นักวิจัยให้ความเห็นว่ามันเป็นเพราะว่าประชาธิปไตยในอียิปต์เปราะบางมากและมีความเป็นไปได้สูงที่การแปรผกผันนี้เกิดขึ้นเพราะว่าคนที่มีการศึกษาสูงทราบถึงการซื้อเสียงที่กัดกินประชาธิปไตยในอียิปต์ จึงประท้วงโดยการไม่ไปใช้สิทธิ์
จากการสำรวจของแถม 3 ชิ้นนี้ ผมคิดว่าของแถมจากการศึกษานั้นเป็นเรื่องสำคัญ…แต่ที่สำคัญกว่าคือการย้อนกลับไปดูก่อนว่าสิ่งที่ซื้อมาตอนแรกคืออะไร
นั่นก็คือ “การศึกษา” ในแต่ละท้องที่ที่เด็กๆ ได้รับมันคืออะไรกันแน่ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเนื้อหา คุณภาพ หรือหลักการการเรียนการสอน เด็กๆ ได้รับอะไรติดไม้ติดมือไปนอกจากจดหมายหรือปริญญาหลังเรียนจบ
หากการศึกษาในสังคมเรามีเนื้อหาที่ไม่สอดคล้องกับชีวิตจริง ไม่มีคุณภาพ และมีหลักการที่ไม่เหมาะสมกับผู้เรียน เราอาจจะไม่ได้ของแถมใดๆ ทั้งสิ้น พลเมืองก็ยังคงจะไม่ดูแลสุขภาพอยู่อย่างนั้น ยังคงมีปัญหาเรื่องคุณแม่วัยใส ยังคงมีปัญหาเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อ HIV และยังคงมีประชากรบางกลุ่มที่คิดไม่ซื่อ
ที่น่าคิดไปกว่านั้นคือหากการศึกษาของเราเป็นเพียงการเข้าศึกชิงปริญญา ไม่ได้พัฒนาทักษะใดๆ แต่เป็นแค่การส่งสัญญานให้กับผู้ว่าจ้าง หรือการศึกษาของเรานำไปสู่ของแถมอันไม่พึงประสงค์ขึ้นมา ไม่เพียงแต่สังคมจะไม่ควรอุดหนุนและไม่ควรลงทุนในการศึกษาประเภทนี้แล้ว สังคมยังควรเก็บภาษีกับการศึกษาประเภทนี้เสียด้วยซ้ำไป
หากการศึกษาที่มีมาตรฐาน มีคุณภาพ และมีศึลธรรมสามารถทำให้สุขภาพของประชาชนดีขึ้น ทำให้สังคมปลอดภัย และทำให้ประชาธิปไตยดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ การศึกษาที่ไร้มาตรฐาน ไร้คุณภาพ และไร้ซึ่งศีลธรรมก็ทำให้เกิดผลทางลบในมิติเหล่านี้ได้เช่นกัน
การศึกษา ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ ประชาธิปไตย สุขภาพ อาชญากรรม เศรษฐศาสตร์
Recent Comments