โพสนี้เป็นโพสที่ 3 ในซีรี่ส์ “ขบคิดเรื่อง fertility rate ตกต่ำ” ในตอนที่ 1 ผมได้เขียนไปแล้วว่าทำไมทั้งโลกกำลังกังวลว่าคนเรากำลังมีลูกน้อยลงทั้ง ๆ ที่เราก็บ่นอยู่เสมอว่าทำไมโลกเราคนเยอะจัง! ส่วนในตอนที่ 2 ผมเขียนถึงความซับซ้อนของสาเหตุที่คนเรามีลูกน้อยลง รวมถึงการมองการตัดสินใจมีลูกผ่านเลนส์เศรษฐศาสตร์ หากท่านผู้อ่านท่านใดยังไม่ได้อ่านทั้งสองตอน อ่านตอนนี้ก่อนแล้วค่อยวนไปอ่านตอนเก่า ๆ ก็ได้ไม่ว่ากันครับ 🙂
ในคราวนี้เรามาลองสำรวจกันว่าชาติอื่นเขาทำนโยบายอะไรไปบ้างและได้ผลอย่างไร อย่าลืมอ่านตอนท้ายของโพสนี้ผมเลือกนโยบายแปลก ๆ ที่หลายชาติเคยทำเอามาให้ชาวไทยลองอ่านเอาฮา (และอาจจะทำให้แนวคิดภาษีคนโสดดูดีขึ้นหน่อยนึง!)
ถ้าด้านบนมันไม่เวิร์ค เห็นทีจะต้องลองของแปลกครับ… มาดูกันว่ามีนโยบายอะไรแปลก ๆ บ้าง
จริง ๆ ไอเดียนักวิชาการไทยท่านนี้อาจจะยังดีกว่าไอเดียการเก็บ “ภาษีคนหล่อ” ที่มาจากนักวิชาการญี่ปุ่นชื่อ Takuro Morinaga ในความคิดผม ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่นอกจากคนในประเทศจะเป็นห่วงสถานการณ์ fertility rate ตกต่ำแล้ว คนทั้งโลกยังเป็นห่วงว่า “อนาคตสีเทา” ของประเทศญี่ปุ่นจะเป็นอย่างไร ดูเผิน ๆ ตามกฎธรรมชาติ ถ้าความหล่อของประชากร distributed normally ก็น่าจะมีคนหล่อจริง ๆ ไม่มาก จึงไม่น่าจะมีการต่อต้านนโยบายได้เหมือนในกรณีภาษีคนโสด
คุณ Takuro Morinaga คิดว่าปัญหาของ fertility rate ตกต่ำในญี่ปุ่นมาจากเรื่องของความไม่เท่าเทียมกันทางการเงินและความสามารถในการหาคู่ เขาคิดว่าการที่เอาเงินจากคนหล่อมาแจกคนไม่หล่อจะทำให้คนที่ไม่หล่อเท่าดูดีขึ้นในสายตาผู้หญิงญี่ปุ่น (หน้าตาคงเท่าเดิมแต่โดยรวมแล้วถือเป็นคู่ผสมพันธ์ที่ดีขึ้นเพราะมีปัจจัยทางการเงินมากขึ้น) และจะทำให้คนที่ไม่หล่อหาคู่ได้ง่ายขึ้น เพิ่มเรทการแต่งงาน และเพิ่ม fertility rate ในที่สุดนั่นเอง
จริง ๆ Takuro Morinaga เขาก็มีที่มาที่ไป เพราะว่า ในปี 2010 50% ของผู้ชายญี่ปุ่นที่อายุเกิน 30-35 ยังเป็นโสดอยู่ นั่นคือปัญหาสังคม แต่วิธีแก้สิสำคัญ หากลองมาคิดดูว่าในทางปฏิบัติแล้วภาษีคนหล่ออาจจะทำให้ญี่ปุ่นไม่น่าไปเที่ยวอีกต่อไป…
จากการคิดลึกลงอีกขั้นทำให้เราเห็นว่าที่มาของภาวะ fertility rate ตกต่ำในสังคมนั้นซับซ้อนและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำวิจัยมาให้รู้กันแน่ชัดว่าสาเหตุคืออะไรก่อนจะทำนโยบายอะไรใหญ่โต เราต้องคิดว่ามันเป็นเพราะว่าคนไม่แต่งงาน? คนไม่อยากมีลูกเพราะเงินไม่พอ? หรือเป็นค่านิยมใหม่?
ในกรณี “ภาษีคนหล่อ” ถึงแม้ว่าเราจะรู้แล้วว่าสาเหตุเป็นเพราะว่าผู้ชายส่วนมากในญี่ปุ่นหาคู่ไม่ได้ แต่เราต้องมาพิสูจน์อีกว่ามันเป็นเพราะว่าผู้ชายหล่อคว้าใจผู้หญิงไปหมด? หรือเป็นเพราะว่าผู้ชายไม่หล่อเนิร์ด ๆ ที่รู้จักผู้หญิง 2D มากกว่าผู้หญิง 3D ในโลกจริงมันไม่เอาไหนเอง? เพื่ออนาคตของชาติ ใครสมควรจะโดนลงโทษ? นั่นเป็นเรื่องที่จะต้องคิดให้ตก
Kunimura พยายามสร้างหุ่นยนต์เด็ก “Yotaro” เพื่อให้โอกาสหนุ่มสาวที่ยังไม่เคยสัมผัสการเลี้ยงเด็กทารกมาก่อน หวังว่า Yotaro จะไปทำให้คนเหล่านี้อยากมีลูกมากขึ้นครับ ดูท่าทางหุ่นยนต์นี้ซับซ้อนพอสมควร อาจจะทำให้อารมณ์เสียมากกว่านะครับ… ผมไม่เข้าใจครับ….สร้างทั้งทีทำไมไม่สร้างหุ่นยนต์เด็กอายุโตกว่านี้หน่อย จะได้น่ารักแต่เลี้ยงง่ายกว่า ไม่ต้องมาเช็ดน้ำมูกอยู่เรื่อย ๆ…สงสัยเป็นเพราะยังทำ speech function ไม่ได้ เลยจำเป็นต้องอยู่ในวัยทารก
ประเทศนี้มีอะไรแปลก ๆ เพียบ…. วีซ่าไม่ต้องใช้แล้วก็อย่าลืมไปเยี่ยมแดนอาทิตย์อุทัยบ่อย ๆ นะครับ เผื่อจะได้ innovation spillover มาให้เราสร้างสรรค์อะไรแปลก ๆ ได้บ้าง
เกาหลีใต้ก็มีปัญหา fertility rate ตกต่ำ ถึงขั้นต้องปิดไฟออฟฟิสกระทรวงสาธารณสุขเดือนละครั้งให้ราชการกลับไปผลิตลูก….โดยจะปิดไฟทุก ๆ วันพุธที่สามของเดือนเวลาทุ่มครึ่ง (ข้าราชการไม่ค่อยมีลูกเท่าพลเมืองปกติในเกาหลีใต้ครับ)
สิงคโปร์มี fertility rate ที่ต่ำมาก ประมาณ 0.78 คนต่อผู้หญิงหนึ่งคน ในอดีต สิงค์โปร์เคยทำอย่างที่ฝรั่งเศสทำมาแล้ว และเคยทำนโยบายประหลาด ๆ อย่างเช่นการห้ามสร้างห้องขนาดเล็กที่เหมาะกับคนโสด (หรือเรียกว่าห้อง “shoebox” ที่มีพื้นที่ต่ำกว่า 500 ตารางฟุต) ในบางพื้นที่ ปัญหานี้น่ากังวลมมากเพราะว่าหากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จะไม่เหลือประชากรสิงคโปร์ที่แท้จริงในอีกไม่กี่สิบปี ขนาด ลี กวนยู ยังยอมแพ้ บอกว่า “I cannot solve the problem, and I have given up” ในหนังสือ One Man’s View of the World
เมื่อปีที่แล้วสิงคโปร์พาร์ตเนอร์กับเมนทอสออกวิดีโอกู้ชาติเนื่องในโอกาสวันชาติด้านบนครับ ดูเอาเองก็แล้วกันครับว่าเขาต้องการแรงจูงใจแค่ไหน! สมแล้วที่เป็นประเทศที่ innovative อันดับต้น ๆ ของโลก
ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าคำขวัญมันมีผลอย่างไรต่อการกระทำของคนเรา…ถ้าตอนเด็ก ๆ ผมเข้าใจนะ ที่เรา “โดนบังคับ” ให้ท่องคำขวัญไว้จะได้เอาไว้เตือนใจ ให้ขยันและเป็นเด็กดี แต่สำหรับผู้ใหญ่ ไม่มีใครเขาท่องกันครับ… กระนั้น ไต้หวันเขาได้ลองทำโพลประกวดคำขวัญเพื่อเพิ่ม fertility rate โดยให้รางวัลที่หนึ่งถึง 1 ล้านไต้หวันดอลล่าห์ (ไม่มีผลต่อ fertility rate) คำขวัญที่ชนะคือ
“Children are our most precious treasures (孩子~是我們最好的傳家寶)”
นอกจากนี้ ธนาคารกลางไต้หวันก็เคยจัดทริป! ชักชวนพนักงานโสดในภาคเอกชนไปเที่ยวด้วย…
รัสเซียก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ตกอยู่ในสภาวะ fertility rate ตกต่ำ และขึ้นชื่อว่าทำทุกวิถีทางให้ประชากรของประเทศเขามีลูกกันมากขึ้น โดยในโครงการ “Give Birth to a Patriot” หากให้กำเนิดในวันที่ 12 มิถุนายน จะมีโอกาสชิงรางวัล! แจกทั้งรถ แจกทั้งตู้เย็น เครื่องซักผ้า กล้องถ่ายวิดีโอ ฯลฯ
หากจะศึกษาเรื่องภาวะ fertility rate ตกต่ำ โรมาเนียเป็นอีกประเทศที่ไม่ควรพลาด เพราะว่าเป็นประเทศที่ผ่านอะไรมามาก ประสบการณ์โชกโชนเหลือเกิน
ห้ามทำแท้ง – ในปี 1966 รัฐบาลโรมาเนียออกกฎหมายห้างทำแท้งนอกจากจำเป็นจริง ๆ กฎหมายนี้สำคัญมากเพราะว่าแต่ก่อนโรมาเนียเป็นประเทศที่ค่อนข้าง liberal จึงมีสถิติทำแท้งสูงมากเป็นอันดับต้น ๆ ในยุโรป ทางเลือกในการคุมกำเนิดในสมัยนั้นก็ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ผ่านไปสองปี จำนวนการทำแท้งตกลงจาก 1 ล้านกว่าเคสเหลือแค่ห้าหมื่นกว่า โรมาเนียเขาเอาจริงมาก ๆ ถึงกับเอาตำรวจไปเฝ้าในโรงพยาบาลเพื่อห้ามทำแท้งเลยทีเดียว
ห้ามหย่าหากไม่จำเป็นจริง ๆ – ผลคือจาก 37,000 ราย เหลือแค่ 28 รายเท่านั้น
ภาษีคนไร้ลูก – ภาษีนี้เริ่มเก็บเมื่อต้นปี 1967 โดยไม่สนใจว่าจะโสดไม่โสด เก็บกับทุกคนที่อายุเกิน 25 แล้วยังไม่มีบุตร ยกเว้นว่ามีลูกไม่ได้จริง ๆ ลูกเสียชีวิต หรือแต่งงานใหม่กับคนที่มีลูกแล้ว อัตราภาษีคือ 10% หรือ 20% ของรายได้ (แล้วแต่ว่ารายได้มากแค่ไหน)
นอกจากนโยบายโหด ๆ เหล่านี้แล้ว โรมาเนียก็ทำนโยบายแบบน่ารัก ๆ ให้เงินตอบแทนควบคู่กันไปด้วย อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่า fertility rate จะโดดขึ้นระหว่างปี 1966 กับ 1968 อย่างที่เห็นด้านบน แต่โรมาเนียก็ไม่สามารถเพิ่มอัตรานี้ขึ้นได้มากติดต่อกันหลายปีหลังจากนั้น
ความโหดที่แท้จริงเริ่มขึ้นในปี 1984 (แหม…ช่างพอดีกับหนังสือดังเรื่อง Nineteen Eighty-Four จริง ๆ ) รัฐบาลโรมาเนียชักเริ่มไม่ไหว อยากเห็นผลไวขึ้น จึงทำนโยบายต่อไปนี้ครับ
อย่างที่เห็นด้านบนทำไปทั้งหมดนี่ก็ได้ผลอยู่ไม่กี่ปีสุดท้าย fertility rate ก็ดิ่งลงเหว….
ที่เราเห็นนโยบายบางนโยบายทำแล้วได้ผลดีในบางประเทศแต่ดันไม่ได้ผลในบางประเทศมันบ่งบอกว่าการแก้ปัญหานี้ทำได้ยากมากและจำเป็นที่จะต้องใช้นโยบายหลาย ๆ ชิ้นเข้าสู้ เพราะอย่างที่ผมเขียนไว้ในตอนที่ 2 การมีลูกมันเป็นการตัดสินใจที่ละเอียดอ่อนและมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องคำนึงถึง
ผมเป็นคนไม่ชอบที่ที่แออัดนะครับและไม่ชอบมลภาวะ แต่ในขณะเดียวกัน…ถ้า fertility rate มันตกลงต่ำกว่า 2 มากลงเรื่อย ๆ ก็จะไม่มีชนชาติเราเหลือพอในระยะยาว…เราก็จะสูญพันธุ์ไปในที่สุด
อีกไม่นาน ผมคิดว่าประเทศไทยก็จะต้องหันมาคิดดูดี ๆ ว่าเราควรจะทำอะไรกับภาวะ fertility rate ตกต่ำอย่างจริงจังแน่นอน
เราควรจะทำนโยบายแบบไหนจึงจะเหมาะสมกับสังคมและเศรษฐกิจเรา นั่นคือคำถามที่ผมจะฝากใว้ให้ผู้อ่านเก็บไปคิดครับ สุดท้ายนี้หวังว่าผู้อ่านจะได้ข้อมูลและข้อคิดหลากมุมจากทั้งสามตอนในซีรี่ส์ “ขบคิดเรื่องภาวะ fertility rate ตกต่ำ” นะครับ ช่วยกันคิดดี ๆ เราจะได้ไม่ต้องเห็นนโยบายน่าขำน่าอายอย่างที่เห็นด้านบนออกมาทำให้ลูกหลานเราขายหน้าชาติอื่น (ถ้ายังมีรุ่นหลานเหลือพอนะ…)
fertility rate ญี่ปุ่น นโยบาย ประเทศไทย ภาวะเจริญพันธ์ ภาษีคนโสด เศรษฐกิจ
Recent Comments