menu Menu
บทเรียนชีวิตจากตำราเศรษฐ​ศาสตร์​ (​ตอนที่ 2)​: สะสมอำนาจและอยู่ให้ถูกตลาด
By ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ Posted in published, เศรษฐศาสตร์ภาษาคน on January 8, 2018 0 Comments 5 words
อาทาเดีย Previous บทเรียนชีวิตจากตำราเศรษฐศาสตร์ (ตอนที่ 1): ผู้อ่อนไหวคือผู้ชนะ Next

จากที่ผู้เขียนร่ำเรียนเศรษฐศาสตร์มา 9 ปี และใช้ชีวิตมาจะครบ 30 ปีแล้ว พบว่าแม้หลายอย่างในตำราจะไม่ค่อยมีประโยชน์โดยตรงนักในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเพราะมัน “obvious” (ชัดเจน) อยู่แล้ว หรือมันซับซ้อนเกินไป แต่สิ่งที่มีประโยชน์ต่อชีวิตจริงมักจะโผล่เข้ามาอย่างเป็นประจำ คอยย้ำอยู่นั่น มันทำให้เราคิดว่า “อืม…เป็นอย่างนั้นจริงๆ อีกแล้วแฮะ”

บทความซีรีย์นี้จะหยิบเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากตำราเศรษฐศาสตร์ที่ผมมองว่ามีประโยชน์ต่อชีวิตจริงมาเล่าผ่านประสบการณ์จริง เผื่อจะไปเป็นประโยชน์ต่อชีวิตผู้อ่านไม่มากก็น้อยครับ

ตอนที่แล้วเราคุยกันว่า “ทำไมผู้อ่อนไหวคือผู้ชนะ” ส่วน​ตอนที่ 2 เราจะมาดูบทเรียนที่สอง นั่นก็คือการสะสมอำนาจและอยู่ให้ถูกตลาด

โบราณว่า “อำนาจ” เป็นดาบสองคม  ไม่มีเลยชีวิตจะลำบาก เสพมากไปชีวิตมีสิทธิ์พังทลาย

แต่ในระบบเศรษฐกิจที่ตัวใครตัวมัน มีอำนาจมากไม่ได้แปลว่ามีพอเสมอไป และถึงมีพอในหนึ่งตลาดก็อาจมีไม่พอในอีกตลาด ขึ้นอยู่กับว่าคนที่เราแลกเปลี่ยน​ด้วยเขามีอำนาจมากกว่าเราแค่ไหน

อำนาจในที่นี้ผมหมายถึง “อำนาจตลาด” หรือ ความสามารถในการเรียกราคาหรือเรียกสิ่งต่างๆ​จากคู่ค้าคู่กิจกรรมให้เราได้ประโยชน์สูงสุด

เรียกราคาสูงเมื่อเราเป็นผู้ขาย  เรียกราคาต่ำเมื่อเราเป็นผู้ซื้อ

เราอาจไม่เคยรู้สึกถึง หรือ พบเห็นการใช้อำนาจในการมีปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับเพื่อนมนุษย์ในชีวิตประจำวัน  ทว่าแท้จริงแล้วทุกการแลกเปลี่ยน ทุกราคาที่แปะอยู่ข้างกำแพง ทุกของแถมส่วนลด ล้วนเป็นผลพวงมาจากการ “งัดข้อแบบเงียบๆ” ระหว่างสองฝั่งของตลาดทั้งนั้น

ทุกครั้งที่เราพยายามต่อรองเงินเดือน หรือแม้กระทั่งทุกครั้งที่พยายามหาแฟนในชั้นเรียนเดียวกันหรือใน​ออฟฟิศ​เดียวกัน  ทั้งหมดนี้เป็นตลาดเล็กๆ​ ที่มีการงัดข้อแบบเงียบๆ ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายทั้งสิ้น

ในตลาดแรงงานเสรี ค่าตอบแทนและสวัสดิภาพของแรงงานขึ้นอยู่กับอำนาจตลาดไม่แพ้กับ value ที่ลูกจ้างสร้างให้กับนายจ้างได้

หากผู้ขายแรงงาน (ผู้สมัครงานที่จะเอาเวลาและหยาดเหงื่อไปขาย) มีอำนาจมาก ก็จะมีโอกาสเรียกค่าตอบแทนและแพคเกจที่ดีขึ้นได้  เช่น ในกรณีที่ผู้ขายมีทักษะสูงที่หายากและกำลังขาดตลาด (ลองนึกถึงค่าตัวนักฟุตบอลดังๆ หรือค่าแรง data scientist ในขณะนี้ดู)

ในกรณีที่ผู้ขายแรงงานมีทักษะที่ทดแทนได้ง่าย หรือมีล้นตลาดแล้ว ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ค่าแรงมักจะถูกกลไกนี้กดให้ต่ำลงไปตามลำดับ เช่น ค่าแรงของเมสเซนเจอร์หรือผู้ให้บริการนวดเท้าในเมืองไทยที่มีทักษะเหล่านี้แทบล้นตลาด เป็นต้น

ทั้งนี้ก็ต้องไม่ลืมคำนึงถึงอำนาจของ ”อีกฝั่ง” ด้วย  หากผู้ซื้อแรงงาน (บริษัทหรือนายจ้าง) มีอำนาจตลาดมากกว่าผู้ขายแรงงานมาก อาจจะเป็นเพราะมีผู้ว่าจ้างไม่กี่รายในตลาด ก็จะพบว่าค่าตอบแทนและแพคเกจจะยิ่งถูกกดลงไปอีก​ ถูกใช้งานยิ่งหนักเข้าไปอีก

กลไกนี้ก็ปรากฏอยู่แทบทุกที่ ตั้งแต่ในตลาดผลไม้สดยันตลาดความรักที่เราทุกคนเคยเดินจับจ่ายกันมาทั้งนั้น  สมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง ขึ้นอยู่กับกลไกนี้ค่อนข้างมาก

ในตลาดที่หญิงชาย​ (และเพศที่สาม)​ ออกหาคู่ แม้ไม่ค่อยมี “ค่าตัว” ออกมาให้เราเห็นแบบโดดๆ (ยกเว้นกรณีสินสอดทองหมั้นในอดีต) เหมือนค่าตอบแทนที่สะท้อนความสามารถและอำนาจตลาดในตลาดแรงงาน  แต่ถ้ามองจากมุมมองที่คนเราคบกันเพื่อประโยชน์ส่วนตัว การที่คนเรามีคุณสมบัติที่หายากและอีกฝั่งเขาให้คุณค่า  ก็จะมีโอกาสอกหักน้อยกว่า (ประมาณว่าสวย/หล่อ/รวย/ฉลาด/ดีเลือกได้) มีโอกาสจับคู่กับคนที่มีคุณสมบัติ​ที่เราหมายปองมากกว่า

แต่ก็ใช่ว่ามีอำนาจตลาดมากแล้วจะได้เปรียบเสมอไป  เหนือฟ้ายังมีฟ้า  มันขึ้นอยู่กับอำนาจตลาดของคู่เราด้วย  ถ้าเขามีอำนาจตลาดเหนือกว่าเรามาก เมื่อคบหากันไปแล้วมันก็จะสะท้อนออกมาให้เห็นเองในรูปแบบของกฎเกณฑ์ในความสัมพันธ์  ประมาณว่าใครใหญ่ใครเล็กในครัวเรือนให้รู้กัน

แล้วจะเป็นผู้ชนะในกลไกตลาดได้อย่างไร?

ผมคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดคือ 1.หมั่นทำให้ตนเองมีคุณค่าที่ตลาดต้องการ 2.เทียบตัวเองกับคู่แข่งในตลาด 3.ฉีกตัวเองออกมาให้โดดเด่นกว่า

การเจรจาเงินเดือนของคุณหรือการหาคู่ของคุณจะง่ายขึ้นและได้อย่างใจหวังขึ้นมากหากคุณมีสิ่งที่เป็นที่ต้องการอยู่แล้ว (ข้อ 1) หรือมีมากกว่าคู่แข่ง (ข้อ 2)

และถึงจะสู้ไม่ไหว การที่คุณแตกต่างมันทำให้คุณไม่แพ้ทันที (ข้อ 3) มิหนำซ้ำความแปลกใหม่ของคุณอาจทำให้คุณเป็นที่ต้องการมากขึ้นไปอีก เพราะมันหายากและอาจช่วยเติมเต็มในสิ่งที่เขาขาดหรือยังไม่ทราบว่าเขาชอบ

และหากคุณทำข้อ 3 ได้ดีจริงๆ  สิ่งที่คุณกำลังเสนอกับนายจ้าง/คู่ชีวิต​ จะแทบไม่ซ้ำกับคู่แข่งคนอื่นๆ​ เลย กลายเป็นว่าคุณกำลังครองตลาดนี้แต่เพียงผู้เดียว​ (แนวๆ​ Monopoly​ เล็กๆ)

จริงอยู่ว่า​ 3 ข้อนี้พูดง่าย ทำยาก แต่ถ้าไม่ทำขึ้นมา คุณจะตกชั้นไปเรื่อยๆ​ กลายเป็นผู้เล่นในตลาดแข่งขันสมบูรณ์สุดคลาสสิค

ไม่มีจุดเด่น ไม่มีอำนาจ ไม่มีกำไร​ ทั้งกำไรที่เป็นเงินและกำไรชีวิต

ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ เศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ภาษาคน


Previous Next

Leave a Reply

Your email address will not be published.

Cancel Post Comment

keyboard_arrow_up