menu Menu
บทเรียนชีวิตจากตำราเศรษฐศาสตร์ (ตอนที่ 1): ผู้อ่อนไหวคือผู้ชนะ
By ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ Posted in published, เศรษฐศาสตร์ภาษาคน on January 8, 2018 0 Comments 14 words
บทเรียนชีวิตจากตำราเศรษฐ​ศาสตร์​ (​ตอนที่ 2)​: สะสมอำนาจและอยู่ให้ถูกตลาด Previous สองสิ่งที่ยังขาด...แต่จำเป็นต่อการปฏิรูปการศึกษา (ให้ไม่หลงทาง) Next

จากที่ผู้เขียนร่ำเรียนเศรษฐ​ศาสตร์​มา​ 9​ ปี​ และใช้ชีวิตมาจะครบ 30 ปีแล้ว พบว่าแม้หลายอย่างในตำราจะไม่ค่อยมีประโยชน์​โดยตรงนักในชีวิต​ประจำวัน​ ไม่ว่าจะเป็นเพราะมัน​ “obvious” อยู่แล้ว​ หรือมันซับซ้อน​เกินไป  แต่สิ่งที่มีประโยชน์​ต่อชีวิตจริง​มักจะโผล่เข้ามาอย่างเป็นประจำ​  คอยย้ำอยู่นั้น​ มันทำให้เราคิดว่า​ “อืม.. เป็นอย่างนั้นจริงๆ​ อีกแล้วแฮะ”
บทความซีรีย์นี้จะหยิบเกร็ดเล็ก​เกร็ด​น้อย​จากตำรา​เศรษฐ​ศาสตร์​ที่ผมมองว่ามีประโยชน์​ต่อชีวิต​จริง​มาเล่าผ่านประสบการณ์​จริง​ เผื่อจะไปเป็นประโยชน์​ต่อชีวิตผู้อ่านไม่มากก็น้อยครับ

ตอนที่​ 1: ผู้อ่อนไหว​ (อย่างสมเหตุสมผล)​ คือผู้ชนะ

โดยปกติแล้วการเป็น​ “คนอ่อนไหว” เป็นอะไรที่ไม่ค่อยมีใครต้องการเป็นกันเท่าไรนัก

แต่ในระบบเศรษฐกิจ​ ผมคิดว่าคนอ่อนไหวคือผู้ชนะ​ที่แท้จริง

ความอ่อนไหวที่ว่านี้ผมหมายถึงความอ่อนไหวต่อราคา​ หรือที่นักเศรษฐศาสตร์​เรียกกันอย่างเต็มๆ​ ว่า​ความยืดหยุ่นของอุปสงค์​ต่อราคา​ (price elasticity of demand) ซึ่งวัดกันที่ความเปลี่ยน​แปลง​ของความต้องการสินค้าของผู้บริโภค​เมื่อราคาสินค้าชิ้นนั้นเปลี่ยน​แปลง

ยกตัวอย่าง​เช่น​ คุณซื้อข้าวแกงน้อยถุงลงเมื่อมีการอัพราคา​ หรือคุณเลิกสนใจรถยนต์​รุ่นนี้ไปเลยเมื่อโปรโมชั่นไม่ดีพอ

นั่นก็คือ​ หากคุณอ่อนไหวต่อราคามาก​  แค่ราคาเปลี่ยนนิดเดียวมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับ​คุณ ราคาจะต้องดีจริงไม่เช่นนั้นคุณจะแทบไม่ซื้อเลย​

บางคนอาจจะมองว่าคนจำพวกนี้น่าจะไม่มีความสุข​ เพราะจะไม่ได้ซื้ออะไรเลย​  แต่ผมคิดว่าถ้าเราอ่อนไหวแบบสมเหตุสมผล​ ไม่ซีเรียส​เกินไป​ จะทำให้เรากลายเป็นผู้บริโภคที่ได้เปรียบ​กว่าผู้บริโภคอื่นๆ​ และจะเหลือเงินเอาไปทำอะไรอย่างอื่นได้อีกมากเลยทีเดียว

และที่สำคั​ญ​ที่สุดคือผมคิดว่าเราอ่อนไหวได้ง่ายขึ้นในยุคดิจิทัล

ทุกวันนี้รีเทลเลอร์มีความสามารถในการแบ่งแยกราคาขาย (price discrimination) ได้มากขึ้น​  ผมเองไม่ทราบว่าทำไมแต่อาจเป็นเพราะกระแส​ e-commerce กำลังมาแรง​ และรีเทลเลอร์เริ่มใช้ประโยชน์​จากข้อมูลเพื่อจัดกลุ่มลูกค้าได้เก่งขึ้น

การ​ price discriminate ก็คือเขาพยายามที่จะตั้งราคาต่างกันสำหรับสินค้าชิ้นเดียวกัน​ การทำเช่นนี้ทำให้เขาได้กำไรโดยรวมมากกว่าการตั้งราคาเดียวแล้ววัดดวง​ ซึ่งมีโอกาสที่จะชวด​กำไรจากคนที่มองว่าราคาสูงเกินไป​  สู้ตั้งหลายราคา​ ขายบางคนที่ราคาต่ำหน่อย ก็ดีกว่าไม่ได้ขาย​ อย่างนี้เขาจะรีดกำไรได้จากทุกคน​

ผลก็คือหากผู้บริโภค​อย่างเราเล่นตัวนิดหน่อย​ ขยันหาช่องทางลดราคา​ หรือส่งสัญญาณ​ว่าเราเป็นพวกอ่อนไหว​ หลายครั้งคุณจะได้ส่วนลดแบบไม่น่าเชื่อ​และแทบไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากมาย

 

เรียกได้ว่าเป็นการโต้ตอบอย่างมีศักดิ์ศรี​ในฐานะผู้บริโภค

วิธีดั้งเดิมตั้งแต่รุ่นพ่อแม่คือสมัครรับคูปองส่วนลดที่มาทางไปรษณีย์​แล้วนำไปลดราคาที่ร้าน​  วิธีนี้ก็ยังทำได้แต่มีต้นทุนทางเวลาสูง​

 

ในยุคปัจจุบัน​มีวิธีอื่นที่น่าจะดีกว่า​ เช่นสมัคร​สมาชิกรับส่วนลด​ด้วยอีเมล์​ หรือแอพลิเคชั่น​ในฝั่งสหรัฐฯชื่อ​ ibotta​ ทำการคืนเงินเป็นส่วนลดเล็กๆน้อยๆจากการแสกนใบเสร็จ​ด้วยกล้องมือถือ ได้ทีละไม่มากแต่ท้ายปีรวมแล้วซื้ออะไรชิ้นใหญ่ๆได้เลยทีเดียว  อีกเทคโนโลยี​ที่น่าจะเห็นกันมากขึ้นคือเว็บแอพที่แสกนอินเตอร์​เน็ต​เพื่อหา​คูปอง​โค้ดมาทดลองให้กับตะกร้าของเราแบบอัตโนมัติ​อย่าง​ Honey เป็นต้น

วิธีสุดท้าย​ที่อัตโนมือกว่าเพื่อนแต่อยากให้ทุกคนลองคือวิธี​ ขอแค่เอ่ย ถามไปตรงๆ​ เลยว่ามีส่วนลดไหม​ทั้งๆ ที่​เราแน่ใจว่าร้านนี้ไม่น่าจะมี​  โดยเฉพาะ​อย่างยิ่งร้านค้าออนไลน์​เล็กๆ​ ที่ไม่น่าจะมีแคมเปญใหญ่ๆ  การถามแค่ส่งเมสเสจ​ไปใช้เวลาคุณเพียง 5 วินาที​เท่านั้น​ แต่อาจมีผลตอบแทนที่ยิ่งกว่าคุ้ม​ หรืออย่างมากก็แค่ไม่มีส่วนลด​

ทั้งนี้เราไม่ได้ต้องการเป็นคนขี้เหนียว​และไม่ได้ต้องการเสียเวลาทั้งวันไปกับการง่วนหาส่วนลด

เรา​ อ่อนไหวก็เพียงเพราะเราต้องการเป็นผู้บริโภค​ที่ถูกเอาเปรียบน้อยที่สุดในโลกที่ธุรกิจพยายามจะรีดกำไรจากกระเป๋าเรามากที่สุดเท่านั้นเอง

 

ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ เศรษฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ภาษาคน


Previous Next

Leave a Reply

Your email address will not be published.

Cancel Post Comment

keyboard_arrow_up