menu Menu
"ประชาธิปไตย" : เส้นทางซับซ้อนสู่สังคมในฝัน
By ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ Posted in Driven-by-data on October 1, 2014 One Comment 47 words
เมื่อคนแก่ "อดยา" : ข้อคิดจาก Medicare Part D Previous วิเคราะห์แนวโน้มการศึกษาออนไลน์ Next

[ความยาว: 7 นาที]   ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่าหลายประเทศได้ร่วมเข้าแคมป์ประชาธิปไตยกันมากขึ้น แต่ทำไมเราถึงรู้สึกว่าระบอบนี้ในหลาย ๆ ที่ถึงทำงานได้ไม่ดีเลิศเท่ากับที่นักปรัชญาและนักคิดทั้งหลายเขาพยายามผลักดันและพร่ำสอนกันมา ? ทำไมเวลามองย้อนกลับไปแล้วเจอแต่ความไม่สงบ ความไม่ต่อเนื่อง และความไม่เท่าเทียมกันในหลาย ๆ สังคมประชาธิปไตยไม่ว่าจะเป็นในประเทศน้องใหม่ในแคมป์หรือ “รุ่นเดอะ” จากฝั่งตะวันตกก็ตาม  เวลาผ่านไปตั้งนานหลังจากที่คนเราคิดค้นคำว่า “ประชาธิปไตย” ขึ้น แต่ทำไมดูเหมือนว่าพวกเรากำลังก้าวไปสู่สังคมตัวอย่างของระบอบนี้ได้ช้าราวกับหอยทาก ? ต้องอีกกี่ร้อยปีเชียวหรือเราถึงจะไปถึงฝั่ง ?

ในบทความอันทรงพลังของ CLR James ที่ตีพิมพ์ด้วยหัวข้อ “Every Cook Can Govern: A Study of Democracy in Ancient Greece Its Meaning for Today” CLR James เตือนใจเหล่านักประชาธิปไตยและนักคิดสมัยใหม่ให้อย่าลืม “ยุคทอง” ของระบอบประชาธิปไตยที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในสมัยยุคกรีกโบราณ

pathenon

เมื่อราว 600 ปีก่อนคริสตกาล ประชาธิปไตยของชาวเอเธนส์ที่ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของประชาธิปไตยสมัยใหม่นั้นมีความแตกต่างกับสิ่งที่เราเห็นในสังคมปัจจุบันอย่างโดยสิ้นเชิง  โดยเฉพาะในเรื่องของคำว่า “แฟร์”

แทนที่จะใช้วิธีเลือกตั้งส.ส…ชาวเอเธนส์ใช้วิธี “สุ่ม” เป็นวิธีหลักในการเลือกผู้นำ  พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นสังคมที่เลือกคนขึ้นมาบริหารสังคมจากการสุ่มลอตเตอรี่นั่นเอง  นั่นก็แปลว่าใครก็ได้ที่เป็น Citizen ในกรุงเอเธนส์สามารถถูกสุ่มเลือกให้มาอยู่ในตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลได้  นอกจากนั้นชาวเอเธนส์ยังกำหนด “วาระ” ใว้อย่างแน่นอนและห้ามไม่ให้ผู้ที่เคยขึ้นมาปกครองถูกเลือกขึ้นมาได้อีก ประชาชนคนอื่น ๆ ที่ “ยังไม่ถูกหวย” จะได้มีโอกาสถูกสุ่มขึ้นมาทำงานหล่อหลอมสังคมในแบบที่ตนต้องการ  เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปีประชากรจำนวนมากก็จะมีโอกาสได้ร่วมสร้างสังคมที่ตัวเองต้องการ  นั่นคือความแฟร์ที่แท้จริงในสายตาชาวเอเธนส์

ชาวเอเธนส์คล้ายนักประชาธิปไตยสมัยใหม่ตรงที่ว่ามีความเคารพในกฎหมาย…แต่ต่างกันลิบลับในเรื่องของความเคารพต่อคำว่า “ความเท่าเทียมกัน”

สังคมล๊อตเตอรรี่ที่เขามีกันเกิดขึ้นได้เพราะว่าชาวเอเธนส์คิดว่าคำว่า “ประชาธิปไตย” กับคำว่า “ความเท่าเทียมกัน” คือคำเดียวกัน  ใช้แทนกันได้ในสมัยนั้น

บทความของ CLR James ทำให้เกิดคำถามน่าคิดขึ้นหลายคำถาม

  1. อะไรคือประชาธิปไตยสมัยใหม่ ? อะไรคือความเท่าเทียมกันในสมัยนี้ ?
  2. เราพอใจกับการที่ใครก็เป็นนายกฯได้จริง ๆ หรือ ?
  3. มนุษย์เราทุกคนต้องการความเท่าเทียมกันจริง ๆ หรือ ?

1. ในสมัยนี้..อะไรคือประชาธิปไตย ? อะไรคือความเท่าเทียมกัน ?

7976384244_3a668eb2e1_z

สังคมกรีกโบราณผู้ให้กำเนิดแก่ระบอบประชาธิปไตยถือว่าคำว่า “ประชาธิปไตย” กับคำว่า “ความเท่าเทียมกัน” คือคำเดียวกัน

แต่ในสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่หลายที่กลับดูเหมือนว่าผู้คนกำลังตกอยู่ในภาวะสับสนในตัวเองและไม่มีความเห็นตรงกันในความหมายของสองคำนี้ถึงขั้นที่ว่าเอาสองคำนี้มาเปรียบเทียบกันไม่ได้ด้วยซ้ำ

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราได้เห็นหลายประเทศที่ปกครองโดยระบอบนี้ที่ก็ยังคงเห็นผู้นำหน้าเดิม ๆ นามสกุลเดิม ๆ ขึ้นมาวนเวียนบนสังเวียนการเมือง  บางคนอยู่เป็นผู้นำได้หลายปี บางคนหมดวาระแล้วก็ยังสามารถชักใยต่อได้อีกหลายสิบปี บางคนอำนาจล้นฟ้าเปลี่ยนกฎหมายให้ตัวเองเป็นต่อได้โดยที่ประชากรก็ยังเชื่อมั่นในความเป็นประชาธิปไตยของชาติตน

หากให้สรุปคร่าว ๆ ว่ามีแนวคิดกี่แนวหลัก ๆ ว่าอะไรคือประชาธิปไตนในสมัยใหม่ คงจะมีอยู่ สามแนวคิดหลัก ๆ ที่พบเห็นได้:

  1. ประชาธิปไตยคือหนึ่งคนหนึ่งเสียง บางทีไม่ต้องมีการเลือกตั้งก็ได้ ขอให้คนที่เขารู้เรื่องดีมีสกุลมีความรู้เขาช่วยชาติ  ตราบใดที่มีสิ่งที่เรียกว่ารัฐธรรมนูญและเราได้เลือกตั้งในบางครั้ง…ตราบใดที่เรา “ได้อย่างใจหวัง” ชาติเรามีประชาธิปไตย
  2. ประชาธิปไตยคือหนึ่งคนหนึ่งเสียง มีรัฐธรรมนูญ  ต้องมีการเลือกตั้งเสมอ ห้ามแต่งตั้ง  แต่ไม่ว่าผู้ชนะเลือกตั้งจะหน้าคุ้นแค่ไหนก็ตามแต่ จะซื้อเสียงอ้อม ๆ หรือจะมีอำนาจเหนือกว่าคนอื่น ๆ ในสังคม ตราบใดที่มีการเลือกตั้งที่ทุกคนมีหนึ่งเสียง ถือว่านั่นคือประชาธิปไตย
  3. ประชาธิปไตยคือหนึ่งคนหนึ่งเสียงแบบข้างบนแต่ไม่พอ แต่จะต้องมีระบบกฎหมายแข็งแรงรองรับ แถมมีประชากรที่เป็น “Democratic Citizen” ประชากรเคารพกฎหมาย ประชากรมีการศึกษา สังคมมีมาตรฐาน human rights สูงและสังคมมีช่องทางในการแสดงความต้องการของประชาชน

ถามว่าการเอา “ความเท่าเทียมกัน” โยนลงไปปนกับสามนิยามนี้จะทำให้เราเห็นความสัมพันธ์ระหว่าง “ประชาธิปไตย” กับ “ความเท่าเทียมกัน” ชัดแค่ไหน?

คำตอบคือ “ขุ่นสิ้นดี” เพราะว่าไม่ว่าจะนิยามไหนก็ยังจะมีกลุ่มประชากรที่ถูกเอาเปรียบตลอดเวลาหากมีการเลือกตั้งแบบที่เรา ๆ คุ้นเคยกัน

การเลือกตั้งนั้นทำให้แฟร์จริง ๆ ยาก…

แม้ว่าคุณจะได้ใช้สิทธิเลือกตั้งแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้สิ่งที่คุณต้องการ 100%  หรือประชากรบางคนอาจจะถูกหลอกโดยส.ส.ที่ไม่หวังดี  ประชากรบางกลุ่มอาจจะได้จำนวนส.ส.ที่จริง ๆ แล้วไม่พอ ฯลฯ

ขนาดในประเทศอเมริกาที่เป็นหัวหอกชักจูงให้ประเทศทั้งหลายแห่กันไปเข้าแคมป์ Democracy  การระดมเงินระหว่างเลือกตั้งและการเล่นสกปรกในการกล่าวหาผู้สมัครคนอื่นผ่านทางโฆษณาทีวีนั้นไม่ต่างจากการซื้อเสียงหรือการหลอกลวงแบบอ้อม ๆ

Imperfect information ในโลกสมัยนี้ทำให้ความแฟร์จากการเลือกตั้งเป็นความแฟร์แบบถูกจำกัด เป็นความแฟร์แบบปลอม ๆ นั่นเอง

ทว่าทั้งหมดนี่ต่างกับสิ่งประชาธิปไตยของชาวเอเธนส์โดยสิ้นเชิง….ซึ่ง “มี” และ “ขาด” มากกว่าแนวคิดทั้งสามด้านบน

ประชาธิปไตยของชาวเอเธนส์ไม่สนว่าคนที่ถูกสุ่มขึ้นมาจะมีประวัติการทำงานอย่างไร จะเป็นชาวประมง จะเป็นพ่อค้า จะเป็นหมอ  ประชากรทุกคนมีสิทธิเท่ากัน

มันน่าตลกสิ้นดีที่ประวัติการทำงานที่สำคัญที่สุดใน resume สมัยนั้นก็คือ “ผมเป็น citizen ที่ไม่เคยขึ้นมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองเลยครับ”

เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่าประชาธิปไตยของชาวเอเธนส์นั้นให้ความสำคัญต่อความเท่าเทียมกันมากกว่าประชาธิปไตยสมัยใหม่มาก (ตราบใดที่สังคมมีจำนวนประชากรมากพอที่ error จากการสุ่มแล้วไม่ random จริงนั้นน้อยมาก ๆ )

2. เราพอใจกับการที่ใครก็เป็นผู้บริหารสังคมได้หรือไม่?

clown

จุดที่หลายคนไม่เห็นด้วยกับประชาธิปไตยของชาวเอเธนส์ก็คือความไม่เข้าท่าที่ว่าใคร ๆ ก็สามารถ “นั่งเก้าอี้” ได้

คนรุ่นใหม่หลายคน (และคนรุ่นเก่าอย่างนักปราชญ์ชื่อดัง Socrates) เห็นว่าการให้คนที่ไม่มีความสามารถเหมาะสมมาทำหน้าที่บริหารการเมืองนั้นเป็นอะไรที่ไม่ฉลาดที่สุด

สังคมมีคนเป็นล้าน…ทำไมไม่เอาคนที่เก่งที่สุดในแต่ละด้านไปนั่งเก้าอี้เหล่านั้น ?

เราเห็นคอนเซ็ปต์นี้ในหลายแง่มุมของโลกสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นในวงการการเมืองหรือแม้กระทั่งในรายการทีวีก็ตาม  ใครเคยดูรายการทีวีแข่งขันร้องเพลง เต้น หรือทำอาหารจะทราบว่ามันเป็นอะไรที่ปกติมากที่รายการเหล่านี้จะเลือกเอา “ผู้เชี่ยวชาญ” ขึ้นมาเพื่อตัดสินผลการแข่งขัน หรือไม่ก็เลือกมาเพื่อพยายาม “ชักจูงความคิด” ของผู้ชมให้ sms ไปโหวตเลือกผู้ที่สมควรชนะ

ชาวเอเธนส์คิดคนละอย่าง… เขาคิดว่าเราไม่ควรเอาผู้เชี่ยวชาญมาตัดสินผลที่สังคมเองก็ตัดสินได้  CLR James ยกตัวอย่างเรื่องการประกวดบทละครในนครเอเธนส์ที่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญซักคน ประชาชนช่วยกันตัดสินใจกันเองว่าชอบบทละครไหน  แม้จะไม่มี “คนเก่งการละคร” มานั่งเก้าอี้ตัวใหญ่เป็นกรรมการพูดใส่ไมค์ให้คะแนนเหมือนสมัยนี้แต่ละครกรีกที่ชนะเลิศในสมัยนั้นกลับถือว่าเป็นอะไรที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงส่งว่าเป็นแม่แบบบทละครที่สุดยอดมาก ๆ แม้เวลาจะผ่านไปเป็นพัน ๆ ปีแล้วก็ตาม

CLR James มักเถียงว่าชาวเอเธนส์ไม่ได้โง่เขลาถึงขนาดที่ว่ายอมสุ่มเอาพ่อค้าแม่ค้าไปเป็นนายพลหรือสุ่มเอาเด็กผอมแห้งไปเป็นทหาร  มันมีข้อยกเว้นเหมือนกันในระบอบประชาธิปไตยของพวกเขาเพราะว่าการมีกำลังทหารไว้รักษาดินแดนและสู้รบกับข้าศึกนั้นมีความสำคัญต่อการอยู่รอดของสังคมสมัยโบราณ

หากมองมุมนี้ การที่เราเห็นนักการเมืองที่เคยเป็นนักชิม นักมวย หรือดาราตลก โผล่ขึ้นมาในสังเวียนการเมืองเป็นครั้งคราวก็อาจจะถือว่าเป็นความก้าวหน้าของประชาธิปไตยก็เป็นได้  ไม่ได้เป็นอะไรที่แย่อย่างที่หลายฝ่ายคิดว่าเป็นความล้มเหลวของระบอบประชาธิปไตยเสมอไป

3. ว่าแต่ว่า..คนเราต้องการความเท่าเทียมกันจริง ๆ หรือ ?

4391133957_43818f4c07_z

หากเราสมมุติว่าประชาธิปไตยของชาวเอเธนส์คือยุคทองจริง ๆ การที่มนุษย์เราเคลื่อนตัวออกห่างจากมันขึ้นเรื่อย ๆ คงเป็นเพราะความกลัวตายและสันดานมนุษย์ที่ยังดิบเหมือนสัตว์ป่าอยู่จนทุกวันนี้

จุดอ่อนของประชาธิปไตยของชาวเอเธนส์ที่ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องเลือก “คนเก่ง” ขึ้นมาคุมด้านการทหารก็เพราะว่าแท้จริงแล้วใจคนนั้นเถื่อน เมื่อทรัพยากรจำกัด มันก็มี “ความจำเป็น” ที่จะต้องรุกรานสังคมอื่นเพื่อยึดดินแดนและทรัพยากรเอาไว้ก่อนที่อีกข้างจะแข็งขึ้นมาในอนาคต

จุดอ่อนนี้ก็ยังคงมีอยู่ในยุคปัจจุบัน  เพียงแต่มีอานุภาพมากกว่าหลายเท่า

ในสังคงสมัยใหม่สงครามอาจจะไม่ได้มาในรูปแบบของการทหารอีกต่อไป หากแต่เป็นสงครามในไม่รู้กี่สนามรบ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน การค้า การฑูต ระหว่างสังคมของตนกับสังคมอื่น ๆ ทั่วโลก

เมื่อมี “สงครามไร้เลือด” ในหลายมิติ…สังคมที่เรียกตัวเองว่าประชาธิปไตยจึงมีความคิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องสรรหา “คนเก่ง” ขึ้นมาทำหน้าที่ มิเช่นนั้นจะโดนประเทศอื่นเขาเอาเปรียบ สุดท้ายจะอดตายและโดยกลืนกินดินแดนและทรัพยากรที่มีในที่สุด

ถ้าหากสังคมเราไม่อยากหายไปจากโลก ไม่อยากเสียเปรียบชาติอื่น…สังคมที่ต้องการที่จะอยู่รอดก็ควรเฟ้นหาผู้นำทีมที่เก่งที่สุด  ไม่ใช่ให้สิทธิทุกคนเท่าเทียมกันแบบสุด ๆ ในการบริหารสังคมเหมือนชาวเอเธอนส์  ถ้าคิดมุมนี้ก็ไม่ต่างจากการคัดทีมบอลไปแข่งบอลโลก เรื่องอะไรที่ชาติเราจะคัดเอานักมวยหรือนักเล่นหมากรุกไปแข่งบอลโลกทั้ง ๆ ที่ก็มีนักบอลเก่ง ๆ เพียบ ?

ลองนึกดูเล่น ๆ ว่าถ้าโลกนี้ไม่มีกิเลส คนเราไม่โลภมาก ไม่มีการเข่นฆ่ากัน ไม่มีการเอาเปรียบกัน คงไม่มีใครที่ไม่แฮปปี้ในประชาธิปไตยของชาวเอเธนส์

logic ประชาธิปไตยสมัยนี้จึงเพี้ยนจากนิยามของชาวเอเธนส์…logic flow กลายเป็นว่า “อยากอยู่รอด => สรรหาคนเก่งมานำประเทศ => ความเท่าเทียมกันเป็นเรื่องรอง”

ที่น่าคิดยิ่งกว่าคือคนส่วนมากต้องการความเท่าเทียมกันจริง ๆ หรือเปล่า ?

ทำไมคนที่ขยันมาทั้งชีวิตถึงจะอยากแบ่งปันให้กับคนที่ไม่ขยัน คนที่มือไม่พายเอาเท้าราน้ำและเป็น “ภาระ” ของสังคม ?

ที่เราเห็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมแบบสุด ๆ ในหลาย ๆ สังคมสมัยใหม่นั้นอาจจะเป็นหลักฐานที่ว่ามนุษย์เราจริง ๆ แล้วเป็นสัตว์ที่เห็นแก่ตัวและไม่ได้ต้องการความเท่าเทียมกันเท่าไรนักก็เป็นได้…

ความเป็นมนุษย์กับหนทางสู่สังคมในฝัน

5309102487_f61cfb38bb_zไปไปมามาบทความเกี่ยวกับประชาธิปไตยชิ้นนี้กลับมาจบลงที่ความเป็นมนุษย์…

มนุษย์เหมือนถูกต้องสาปและถูกให้พรในเวลาเดียวกัน

ถูกต้องสาปให้เกิดมาเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งบนโลกที่มีทรัพยากรจำกัด แต่ยังดีที่ฟ้าประทานสมองดี ๆ มาให้แต่แรกเกิด  เพราะว่านอกจากสมองดีแล้ว…เวลาจะเอาตัวรอด เวลามีความรัก เวลาหิวโซ เวลาสื่อสารกับเพื่อน เวลาอาฆาตนั้นไม่ต่างจากสัตว์อื่น ๆ เท่าไหร่นัก

บางคนอาจคิดว่าศาสนาเป็นทางออก…ศาสนาอาจจะเป็นสิ่งที่ช่วยล้างบาปล้างสันดานดิบให้กับคนเราได้  แต่สังคมที่คนส่วนมากมีจิตใจดีงามจะสามารถอยู่รอดในโลกที่คนอื่น ๆ เขาคอยแต่จะแย่งชิงคอยแต่จะเอาเปรียบได้จริง ๆ หรือ ?

ทางออกที่ดีที่สุดคงจะเป็นการใช้สมองที่ฟ้าประทานมาให้ดีที่สุด

ทางออกไปสู่สังคมในฝัน คงเป็นการใช้สมองของคนหลายเชื้อชาติต่างเพศต่างวัยต่างความเชื่อเพื่อพยายามหาวิธีอยู่ร่วมกันบนโลกได้อย่างพอเพียง ใช้ทรัพยากรอย่างฉลาด พยายามให้ระบบนิเวศมันช่วยเรา คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ ขึ้นมาเพื่อพยายาม “แก้คำสาป” ที่ทำให้เราเกิดขึ้นมาในโลกที่มีทรัพยากรจำกัดเหลือเกินนี้ให้จงได้

บทความนี้ไม่ได้พยายามเชิดชูว่าประชาธิปไตยของชาวเอเธนส์เป็นสังคมที่ดีที่สุด  เพราะเอาเข้าจริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้ perfect…ยังเป็นสังคมที่มีทาสและผู้หญิงโดนกดขี่ (เพราะว่าเขาไม่ถือว่าคนเหล่านี้เป็น citizen)

หวังว่าโลกเราจะยังมีคนที่จิตใจบริสุทธิ์หลงเหลืออยู่มากพอที่จะช่วยกันคิดค้นลู่ทางการไปสู่สังคมในฝันให้ได้ ไม่ว่าจะผ่านทางศาสนา การศึกษา วิทยาศาสตร์ ประชาธิปไตย ประชาธิปไทย หรือทางไหน ๆ ก็ตาม

 

democracy การเมือง ประชาธิปไตย เมืองไทย


Previous Next

Leave a Reply

Your email address will not be published.

Cancel Post Comment

  1. สำหรับประชาธิปไตยสมัยใหม่ อาจจะต้องมาในแนวนี้ก็ได้นะครับ

    ให้สมาชิกทุกคนมีหนึ่งเสียงเท่ากัน แต่มอบเสียงให้คนอื่นโหวตแทนได้ เลือกได้ว่าจะให้โหวตแทนทุกเรื่อง เฉพาะประเด็น หรือเฉพาะร่างนโยบายร่างใดร่างหนึ่ง ทุกคนที่ได้รับมอบเสียงโหวตจะส่งต่อเสียงไปให้คนอื่นเป็นตัวแทนอีกทอดก็ได้ แต่เจ้าของเสียงสามารถดึงเสียงของตัวเองกลับมาได้ทุกเมื่อ ทำให้ตัวแทนทุกคนต้องรอบคอบ ไม่มีทางที่ใครจะลุแก่อำนาจจนกลายเป็นเผด็จการได้

    http://thaipublica.org/2014/12/pirate-party-germany/

    ส่วนตัวเองมองว่า

    ในสมัยก่อน ความเสมอภาคอาจสำคัญ แต่สมัยนี้ ทุกอย่างซับซ้อนมาก แต่ละคนมีความรู้และประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งการเลือกผู้แทน ไม่ว่าจะเป็น ทางด้านกายภาพ(สส เขต) ทางด้านกลุ่มพรรค(party list) หรือจากการสุ่ม(สรร)หา ดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน คงยังไม่เพียง แต่หากเราสามารถเลือกได้ว่า นโยบายในแต่ละด้าน เราเห็นด้วยกับแนวความคิดของใคร เราไว้วางใจให้ใครเป็นผู้ออกเสียงแทนเรา เช่นนี้ มองว่าน่าจะสอดคล้องกับสภาพสังคมอันซับซ้อนในปัจจุบันมากกว่าครับ

    ดีกว่าการเลือกคนที่หน้าตาดีที่สุด ในหมู่คนขี้เหร่ อย่างที่เป็นอยู่ในการเลือกตั้งแบบปัจจุบัน

keyboard_arrow_up