menu Menu
นับถอยหลังเพดานหนี้สหรัฐฯ
By ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ Posted in Global Economy on October 14, 2013 0 Comments 52 words
ข้อคิดที่ได้จากการทำวิจัยที่ Harvard 1 ปี Previous 8 ทัศนคติอันน่าฉงนของคนไทย Next

อีกเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น คนทั้งโลกก็จะได้รู้กันว่าสหรัฐฯจะผิดสัญญาหนี้รัฐบาลหรือไม่  หากสหรัฐฯผิดชำระหนี้ ผลกระทบจะรุนแรงแค่ไหน? ใครจะซวยบ้าง? โพสนี้จะสรุปวิกฤตเพดานหนี้สหรัฐฯด้วยภาษาง่าย ๆ หวังว่าจะช่วยให้ผู้อ่านได้มุมมองที่หลากหลายและกว้างขึ้นในเวลาอันรวดเร็วครับ

เพดานหนี้คืออะไร?

ก่อนอื่น… ไม่ต้องห่วงหากคุณไม่คุ้นกับกลไกเพดงเพดานอะไรนี่…เพราะว่า”เพดานหนี้” เป็นกลไกที่ประหลาดครับ!  นอกจากสหรัฐฯแล้ว ในกลุ่มประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยจะมีแค่เดนมาร์กอีกประเทศเดียวเท่านั้นที่มีการใช้งานเพดานหนี้

คิดง่าย ๆ ว่าเพดานหนี้คือวงเงินบัตรเครดิตของรัฐบาล

หากรัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องกู้เงินมากกว่าวงเงินที่เพดานกำหนดไว้ ก็ต้องขอสภาให้อนุมัติขยายวงเงิน จะได้เอาไปชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เรียงหน้ากันมาทุก ๆ เดือน ทุก ๆ ไตรมาส เช่น ผลตอบแทนพันธบัตร ค่าใช้จ่ายสวัสดิการสังคม ฯลฯ

ในประเทศอเมริกา ความสามารถในการกู้ของรัฐบาล (borrowing) นั้นโดนแยกออกมาจากความสามารถในการใช้จ่าย (spending) ทำให้ต้องโวตอนุมัติงบประมาณและอนุมัติวงเงินในการกู้กันคนละรอบ (รอบอนุมัติงบประมาณนั้นไม่สำเร็จ จึงเกิดการปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐฯขึ้นเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว)

เพดานหนี้สูงแค่ไหน?

สูงมาก………..

เพดานหนี้สำหรับปี 2013 เท่ากับ 16.669 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ซึ่งในขณะนี้สหรัฐฯมีหนี้ืทางเทคนิคเลยเพดานแล้วด้วยซ้ำ สหรัฐฯนั้นเป็นประเทศที่เสพหนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว มีแค่ปี 1835 เท่านั้นที่เป็นปีที่ไม่มีหนี้เลย  ตั้งแต่ปี 1917 เพดานหนี้โดนยกขึ้นถึง 78 ครั้งด้วยกัน  ผลที่เห็นก็คือประเทศที่เคยตัวนั่นเอง (ยิ่งเคยตัวเข้าไปใหญ่หลังจากที่ได้สำแดงฤทธิ์ว่าเป็นประเทศที่แกร่งที่สุดในโลกต้นทุนในการกู้เงินก็ยิ่งต่ำเข้าไปใหญ่)

ทำไมเขาถึงฮือฮากันเหลือเกินช่วงนี้?

ขายหน้ามั๊ยนั่น…

วิกฤตเพดานหนี้นั้นเป็นข่าวด้วยหลายสาเหตุ ผมแยกเป็นสองสาเหตุหลักให้นะครับ

สาเหตุแรก คือ การที่กลไกนี้ได้กลายเป็นอาวุธทางการเมืองในสหรัฐฯไปแล้ว  จริง ๆ แล้วตอนแรกกลไกนี้มีไว้เพื่อชะลอการใช้จ่ายของชาติเพื่อให้รัฐคิดดี ๆ ก่อนจะใช้จ่ายในแต่ละรายการ มันเคยเป็นแค่ “กลไกเพื่อความไม่ฟุ่มเพือย”  แต่ว่าพักหลังนี้ กลไกเพดานหนี้กลับกลายเป็น “อาวุธ” ทางการเมืองสำหรับพรรค​ Republican ที่ไม่ได้คุมทำเนียบขาวแต่คุมสภา จึงเอากลไกนี้มากดดันโอบามาและผองเพื่อนพรรค Democrat ให้ยอมข้อแลกเปลี่ยนต่าง ๆ นานาไม่เช่นนั้นจะไม่ยอมอนุมัติยกเพดานหนี้ให้ (อารมณ์เดียวกับการเจรจานโยบายงบประมาณที่ไปไม่ถึงไหน จึงเกิดการปิดทำการขึ้น)  แต่โอบามาก็ไม่ยอม เขามองว่านี่เป็นหน้าที่ของสภาที่ควรจะช่วยชาติให้ไม่ต้องผิดชำระหนี้ นี่ไม่ใช่เวลามาบอกว่า “เฮ้ย! อย่าฟุ่มเฟือย!” บิลที่จะต้องจ่ายมันเรียงกันมาแล้ว…แต่ไม่มีเงินเลย….

สาเหตุที่สอง คือหากเพดานหนี้นี้ไม่ถูกยก รัฐบาลจะไม่สามารถกู้เงินเม็ดใหม่ ๆ มาจ่ายหนี้เก่าที่จะครบกำหนดเร็ว ๆ นี้ได้พอ  เพราะว่าระดับหนี้ตอนนี้ชนเพดานแล้ว  หลายคนกังวลว่าการเบี้ยวหนี้อาจจะเกิดผลเสียมากมายตั้งแต่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯดิ่งเข้าสู่ recession อีกรอบ ไปจนถึงวิกฤตที่บานปลายขนาดที่ว่าฉุดทั้งโลกลงไปกับสหรัฐฯด้วย

ใครเป็นเจ้าหนี้บ้าง?

ดูรูปจาก NPR ด้านล่างแล้วจะเห็นภาพได้เร็วที่สุดครับ

Holders of U.S. debt

 

ใครขายออกไปแล้วบ้าง?

เมื่อสองเดือนก่อน เราเห็นสัญญานที่ธนาคารกลางในหลายประเทศ (รวมทั้งประเทศไทย) เริ่มลดระดับพันธบัตรสหรัฐฯที่ถืออยู่ในพอร์ต นั่นน่าจะมาจากการมองทิศทางนโยบาย Tapering มากกว่า  แต่ล่าสุดนี้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วมีสถาบันการเงินใหญ่ ๆ สามแห่งที่ได้เทขายพันธบัตรสหรัฐฯที่จะครบกำหนดในเร็ว ๆ นี้

  • กองทุนรวมของ BlackRock Inc. (BLK) ได้โละพันธบัตรที่จะครบกำหนดเร็ว ๆ นี้ออกจากพอร์ต
  • Fidelity ก็ได้เทขายพันธบัตรที่จะครบกำหนดภายในสิ้นเดือนตุลานี้ถึงต้นเดือนหน้าจนหมดเกลี้ยงพอร์ต ()
  • JPMorgan Chase ก็ได้ให้กองทุนรวมของตนขายพันธบัตรที่จะครบกำหนดระหว่าง 16  ตุลาคม ถึง 6 พฤศจิกายน ออกไปหมดแล้ว

นอกจากสามแห่งนี้แล้ว กองทุนรวมอื่น ๆ ก็ได้ทยอยขายออกไปเหมือนกัน และได้เสริมทัพสภาพคล่องรอรับมือสถานการณ์ลูกค้านักลงทุนแตกตื่นที่อาจจะอยู่ดี ๆ ถอนเงินลงทุนอาทิตย์นี้

ขณะนี้ดอกเบี้ยสำหรับพันธบัตร 1 เดือนอยู่ที่ประมาณ 0.21%  แม้ว่าจะตกลงมาจาก 0.35% เมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็ตาม ถือว่าสูงผิดปกติมาก ๆ

อย่างไรก็ตาม ผู้นำประเทศญี่ปุ่น อินเดีย รัสเซีย และซาอุดิอาราเบีย ก็ยังแสดงความเชื่อมั่นในพันธบัตรสหรัฐฯ และเชื่อว่าสหรัฐฯจะสามารถฝ่าวิกฤตนี้ไปได้  ซึ่งพวกนี้ถือเป็นนักลงทุนระยะยาวมากกว่า  พอจะเข้าใจได้นิดนึง…

****ใครสงสัยว่าจีนคิดยังไงถึงเอาเงินไปให้สหรัฐฯ ยืม อ่านโพสเก่า ๆ ของผมได้ที่นี่ครับ****

จะเกิดอะไรขึ้นหากเพิ่มเพดานหนี้ไม่ได้?

ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากสองพรรคตกลงกันไม่ได้ภายในวันที่ 17 นี้  แต่คร่าว ๆ แล้วมีแนวคิดของหลายฝ่ายล่อง ๆ ลอย ๆ อยู่ประมาณนี้ครับ

  1. สหรัฐฯจะต้องเบี้ยวค่าใช้จ่ายหลายรายการ – อันนี้มีความเป็นไปได้สูง  Congressional Budget Office คำนวนออกมาแล้วว่าหากเพดานหนี้ไม่ถูกยกภายในวันที่ 17 ตุลาคม 2013  จะเหลือเงินสดให้กระทรวงการคลังแค่ประมาณ 3 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐฯเท่านั้น หลังจากนั้นอาจจะมีทาง “ดิ้น” ได้นิดหน่อย แต่ก็จะต้องเริ่มเบี้ยวคืนหนี้หลังจาก วันที่ 22 ตุลาคมเป็นต้นไป  (3หมื่นล้านถือว่าน้อยมาก เพราะแค่วันเดียวก็มีค่าใช่จ่ายประมาณ 6 หมื่นล้านแล้ว)  รายจ่ายต่าง ๆ และวันที่ดูได้ที่นี่
  2. ดิ่งลงเหวด้วยดอกเบี้ยสูง – หากสหรัฐฯเบี้ยวหนี้ ไม่จ่ายดอก ตามทฤษฎีแล้วราคาพันธบัตรสหรัฐฯจะตกฮวบ โดยเฉพาะพวกที่จะครบกำหนด ดอกเบี้ยจะพุ่ง เพราะพันธบัตรเริ่มส่งอาการว่าเป็น “ขยะ” นักลงทุนจึงเรียกร้องดอกเบี้ยสูงขึ้นเพื่อให้คุ้มกับความเสี่ยงที่รัฐบาลสหรัฐฯจะเบี้ยว  เท่านั้นยังไม่พอดอกเบี้ยพันธบัตรนั้นถือเป็น “ตัวเทียบ” สำหรับการกู้ยืมชนิดอื่น ๆ ในเศรษฐกิจ ตั้งแต่การกู้ยืมซื้อรถยนต์ ซื้อบ้าน ซื้อการศึกษา (student loans) ฯลฯ หากดอกอื่น ๆ เริ่มพุ่งตาม ก็จะไม่ค่อยเกิดการผลิตเท่าที่ควร เศรษฐกิจก็จะชงักและเริ่มดิ่งลงเหว  เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯเริ่มชะงักคู่ค้าก็จะเริ่มรู้สึกกันไปตาม ๆ กัน    ไม่มีอะไรใหม่…
  3. ดิ่งลงเหวด้วยดอลล่าร์ที่หมดค่า – เงินสกุลดอลล่าร์จะเสียคุณค่าอย่างกระทันหัน เกิดความปั่นป่วนทั่วโลกเพราะว่าการค้าระหว่างประเทศนั้นประมาณ 80% ทำกันด้วยเงินดอลล่าร์  แต่อันนี้ผมว่าเวอร์เกินจริงที่จะเกิดภายในอาทิตย์นี้  หากมองในระยะยาวบวกกับนโยบาย QE อาจจะมีความน่าจะเป็นมากขึ้นนิดนึง…
  4. ดิ่งลงเหวด้วยวิกฤตการเงิน (อีกแล้ว) –  อันนี้น่ากลัวมาก…  ผู้อ่านคงจำการช็อตของระบบกองทุนรวมในสหรัฐฯได้เมื่อห้าปีก่อนได้ ปกติแล้วกองทุนรวมนั้นทำธุรกิจโดยแทบจะการันตีว่าเงินลูกค้าไม่เสียชัวร์ ๆ เพราะเอาไปลงในอะไรที่เซฟมาก ๆ รวมทั้งในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯด้วย แต่ในขณะนี้พันธบัตรที่ว่าเซฟ ก็เริ่มไม่เซฟซักเท่าไหร่แล้ว… เมื่อวันที่ 11 วันเดียวเท่านั้นทรัพย์สินในกองทุนรวมสหรัฐฯที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลซะส่วนมากลดลง 7.4 พันล้านดอลล่าร์ หรือประมาณ 2.3% ซึ่งสูงที่สุดตั้งแต่เดือน น่าจะเกี่ยวเนื่องกับการที่ลูกค้าดึงเงินออกไป 9 พันล้าน   หากเกิด panic ขึ้น กองทุนเหล่านี้อาจล่มได้  พันธบัตรรัฐบาลที่เคยใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน (collateral) ที่เซฟสุด ๆ ในตลาดซื้อคืนตราสารหนี้ (Repo market) และในการทำธุรกรรมอื่น ๆ ทั่วไประหว่างสถาบันการเงิน ก็อาจจะกลายเป็นว่าใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันไม่ได้อีกต่อไปเพราะเป็นแค่กระดาษขยะไปโดยปริยาย ก็จะเกิดการเรียกเงินเข้ามาโปะช่องโหว่ที่ collateral ไม่สามารถค้ำประกันได้หมด  เงินสดยิ่งหายากเวลามี Panic ก็จะเกิดการขายทรัพย์สินเพื่อเอาเงินมาโปะช่องพวกนี้  ยิ่งขาย ราคาหุ้นเหิ้นอะไรต่อมิอะไรยิ่งตกกันไปใหญ่…  ฟังดูคุ้น ๆ นะครับ ….​  ผมเองไม่ทราบว่าไส้ในของกองทุนรวมหรือธุรกรรมแบบ Repo มันมี exposure กับกลไกพวกนี้แค่ไหน  ได้แต่หวังว่าสหรัฐฯได้เรียนรู้อะไรบ้างในห้าปีที่ผ่านมานี้ และแบงก์ใหญ่ ๆ ไม่ได้มี exposure กับพันธบัตรรุ่นที่ใกล้ความเป็นขยะมากเท่าไรนัก
  5. เกิดปรากฎการณ์ “หาว” – คนทั้งโลกอาจจะนั่งมองดูนักการเมืองสหรัฐฯเล่นละครไปเรื่อย ๆ จนวันที่ 17 โดยไม่ทำอะไรเลย หรือแม้กระทั่งนั่งดูสหรัฐฯเบี้ยวหนี้แล้วหาวเอาซะเฉย ๆ  เหมือนกับว่าไม่เกิดอะไรขึ้น  คนก็ยังซื้อพันธบัตรสหรัฐฯเหมือนเดิม หุ้นก็ไม่ตก ดอลล่าร์ก็ไม่ตกฮวบ  แม้ว่าปรากฎการณ์นี้มันจะขัดกับหลักเศรษฐศาสตร์และ common sense (หากใครผิดหนี้หรือไม่มีความรับผิดชอบ ก็ควรโดนลงโทษ ไม่ใช่ปล่อยให้ลอยนวล)  มันอาจจะมีทางเป็นไปได้เหมือนกัน  การที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังไม่ตกเหวไปอย่างชัดเจนมันแปลว่าคนยังเชื่อว่าแม้ว่านักการเมืองในกรุงวอชิงตันดีซีจะไม่เอาไหน แต่คงไม่โง่ถึงขนาดทำให้ประเทศตัวเองเบี้ยวหนี้ หากท้ายสุดแล้วเพดานหนี้โดนยก หุ้นก็น่าจะขึ้นตอนนั้น เรื่องอะไรจะขายหุ้นทิ้งตอนนี้?  แล้วถึงแม้จะเห็นรัฐบาลตัวเองเบี้ยวหนี้  แต่นักลงทุนทั่วโลกก็ยังต้องมานั่งขบคิดและช่างน้ำหนักอยู่ดีว่ายังเชื่อในสหรัฐฯ แค่ไหน? แล้วมันมีอะไรที่น่าเอาเงินไปลงมากกว่าไหม? (ซึ่งก็มีที่ให้เอาเงินจำนวนมากไปลงแบบเซฟ ๆ ไม่มากแล้วในโลกสมัยนี้)  ซึ่งเราเห็นได้เลยว่าคนยังเชื่อถือมากสำหรับประเทศที่ติดหนี้แบบไม่มีทางจ่ายหมดในชาตินี้ บวกกับพิมพ์เงินเป็นว่าเล่นและยังมีรัฐบาลที่เอาแต่เล่นละครมาสองอาทิตย์แล้ว….

บทส่งท้าย

ที่ผ่านมาห้าปีหลังจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ สหรัฐฯพยายามจะแก้ปัญหาหนี้ด้วยหนี้….
ใคร ๆ ก็รู้ว่านี่คือวิถีนักเลง
คิด ๆ ดูแล้ววิธีนี้มันจะเป็นไปไม่ได้เลยในประเทศอื่น ๆ ที่มีเจ้าหนี้ต่างชาติจำนวนมาก (ญี่ปุ่นมีเจ้าหนี้ต่างชาติค่อนข้างน้อย จึงสามารถเพิ่มหนี้ได้ง่ายกว่าชาติอื่น ทำให้สามารถรอดตัวไปได้นานกว่าปกติ) ประเทศอื่น ๆ ที่มีเจ้าหนี้ต่างชาติจำนวนมากจะประพฤติตัวอย่างนี้ไม่ได้ เพราะว่าสามเหตุผลหลัก ๆ ต่อไปนี้:
  1. ไม่ได้มีอำนาจพิมพ์เงินดอลล่าร์ที่ใช้ค้าขายกันทั่วโลกและในขณะเดียวกันก็มีทองคำจำนวนมาก
  2. ไม่ได้มีอำนาจทางการเมืองระหว่างประเทศเท่ากับสหรัฐฯ
  3. ไม่ได้มีอำนาจทางการทหารเท่าสหรัฐฯ
เราเริ่มรู้กันดีขึ้นแล้วว่าสามข้อด้านบนเรื่อมเสื่อม ๆ ลงในช่วงห้าปีที่ผ่านมา
จำได้ไหมครับสมัยห้าปีที่แล้ว คนทั้งอเมริกาบ่นว่าแบงก์ที่ใหญ่เกินกว่าจะล้ม “Too Big to Fail”  (TBTF) เป็นตัวก่อให้เกิดปัญหามากมายเพราะว่าทรัพย์สิน toxic ของแบงก์พวกนี้ไปพัวพันกับทั้งระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ และนอกสหรัฐฯ ถึงขั้นปล่อยให้เจ๊งไม่ได้ ต้องให้ภาครัฐเข้าไปอุ้มเอาไว้ ก่อนที่จะสายเกินไป  จึงเป็นภาระทางภาษีต่อคนอเมริกันทั้งประเทศที่ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่เลยใด ๆ ทั้งสิ้น
คราวนี้ลองมองโลกจาก 3 หมื่นฟุตดูนะครับ จะเห็นว่าคราวนี้รัฐบาลสหรัฐฯเองกลายเป็น Too Big to Fail ในระดับโลก เพราะว่าเศรษฐกิจเขาเชื่อมต่อเข้ากับทุกระบบการเงินทั่วโลกด้วยเงินดอลล่าร์และตราสารหนี้ของเขา และหากผิดชำระหนี้สหรัฐฯก็จะมาเป็นภาระให้กับคนทั่วโลก  แต่คนทั่วโลกไม่มีทางเลือกเท่าไหร่นัก ไม่ต้องการความไม่แน่นอน เลยอาจจะยอมหยวน ๆ ให้  แต่หยวนตัวจริงไม่ยอมแน่  ในไม่ช้าเราจะเห็นท่าทีมังกรจีนออกมาวาดลวดลายเพิ่มขึ้นเพื่อลดพลังศรัทธาในเศรษฐกิจอเมริกาเพื่อสลับขั้วอำนาจแน่นอน

สหรัฐฯ หนี้ อเมริกา เพดานหนี้ เศรษฐกิจ


Previous Next

Leave a Reply

Your email address will not be published.

Cancel Post Comment

keyboard_arrow_up