menu Menu
10 วิดีโอเกมส์ที่คู่รักไม่ควรพลาด
By ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ Posted in Life+ on February 12, 2016 0 Comments 128 words
อย่าลืม "คนดี" เวลาพัฒนาสังคม Previous ขจัดคอร์รัปชันต้องเริ่มด้วยข้อมูล: กรณีใบสั่งรถทูต Next

ตั้งแต่ผมเริ่มทำเว็ป settakid.com มาไม่เคยมีบทความไหนได้รับความนิยมเท่ากับบทความที่ชื่อว่า “4 เหตุผลที่ทำไมถึงควรเล่นเกมกับแฟน”  (นักเศรษฐศาสตร์ในตัวผมแอบเศร้านิดๆ แต่ก็ดีใจที่มีคนเห็นตรงกันเพียบ)

เนื่องในโอกาสวันแห่งความรักปีนี้ ผมจะรีวิว 10 วิดีโอเกมส์ที่ผมคิดว่าสนุกสำหรับทั้งสองฝ่ายและจะให้คะแนนในแต่ละด้านกับวิเคราะห์ด้วยว่าทำไมเกมส์แต่ละเกมส์ในท๊อปเท็นนี้ถึงเป็นการใช้เวลาร่วมกันอย่างดีเยี่ยมและมีคุณภาพ
หวังว่าผู้อ่านจะมีโอกาสได้ลองไปหามาเล่นกันนะครับ

เริ่มจากการทดลองเล็กๆ

เรื่องมันมีอยู่ว่าวันดีคืนดีผมกับภรรยานั่งนึกถึงความทรงจำเก่าๆ สมัยยังเรียนปริญญาตรีด้วยกันว่าเคยเล่นเกมส์ด้วยกันสนุกจนไม่ได้อ่านหนังสือสอบ (แต่ก็สอบผ่านมาได้ด้วยดี)  พอลองนึกๆ ดูก็เป็นที่ประจักษ์ว่า “การเล่นเกมส์ด้วยกัน” เป็นกิจกรรมที่เราชอบทำร่วมกันบ่อยพอสมควรตลอดหลายปีที่ผ่านมา

เลยนึกสงสัยว่าถ้าหากให้แต่ละคนแยกไปจัดอันดับเกมส์ที่ชอบเล่นด้วยกันที่สุด 15 เกมส์แล้วเอามาเทียบกันจะเป็นอย่างไร ผลก็คือตารางด้านล่างครับ

game

คอลัมน์ ♂ คืออันดับที่ผมจัด ส่วนคอลัมน์ ♀ คืออันดับที่ภรรยาผมจัด  และคอลัมน์ ⚭ คืออันดับที่พวกเราจัดร่วมกันหลังจากการเจรจาประมาณ 5 นาที

สิ่งที่พบคือเราเห็นตรงกันพอสมควรเลยว่าเกมส์ไหนสนุกและน่าประทับใจทั้งๆ ที่จัดอันดับแยกกันโดยไม่คุยกัน ผู้ชายอย่างผมอาจจะลำเอียงไปทาง action มากกว่าหน่อย แต่มองดูคร่าวๆ จะเห็นว่าพวกเราสนุกในอะไรที่คล้ายๆ กันพอสมควร

หลังจากนั้นจึงจัดอันดับร่วมกันอีกทีเพื่อให้ได้รายชื่อเกมส์ท๊อปเท็นต่อไปนี้ครับ

1. Resident Evil 5

16915621416_e98fbb49a0_b

ความสนุก: 10/10

ความเครียด: 10/10

โอกาสทะเลาะ: 7/10

บทเรียน: 15/10

Resident Evil 5 เป็นเกมส์ที่พวกเราคิดว่าสมควรอยู่อันดับ 1 ที่สุดเพราะว่ามันเป็น “bonding experience” ที่ยากจะลืมลง  จริงอยู่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนจอเป็นเรื่องสมมุติ แต่สิ่งที่เราคุยกันหรือวางแผนร่วมมือกันปราบผีดิบเป็นเรื่องจริง และมันบ่งบอกว่าเราทำงานกันเป็นทีมได้ดีแค่ไหนท่างกลางสถานการณ์ตึงเครียด

จุดเด่นของเกมส์ยิงผีภาคนี้คือการเล่นช่วยกัน (cooperative) ที่ทำได้อย่างลงตัวและเหมาะสม เพราะในหลายช่วงของเกมส์มันมีความจำเป็นที่จะต้องมีอีกคนมาช่วย เช่น ภาคนี้เลือดหมดแล้วจะยังไม่ตายทันที สามารถให้คู่หูที่อยู่ใกล้ๆ มาฉีดมอร์ฟีนให้ฟื้นได้และการมีศัตรูที่ฟาดเราทีเดียวตายอย่างตัวที่แบกขวานอยู่ด้านบนทำให้เกมส์นี้บู๊เก่งคนเดียวทั้งเรื่องได้ยาก

เมื่อเล่นเนื้อเรื่องหลักจบยังมีโหมด Mercenaries ที่เล่นช่วยกันได้อย่างไม่มีเบื่อไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีแล้วก็ตาม ผมคิดว่า Mercenaries โหมดนี่แหละคือจุดขายหลักของเกมส์นี้ มันเป็นเหมือนขุมทรัพย์เอาไว้ให้คู่รักที่ชอบเล่นเกมส์ด้วยกันมาเก็บประสบการณ์กันเพราะมันเป็น survival mode ที่มีการนับเวลาถอยหลัง และยิ่งผ่านไปหลายๆ รอบมันจะยิ่งเครียดและยากขึ้นเรื่อยๆ ในการเอาชีวิตรอด…

2. Life is Strange

lifeisstrange

ความสนุก: 9/10

ความเครียด: 0/10

โอกาสทะเลาะ: 0/10

บทเรียน: 10/10

Life is Strange เป็นเกมส์ไม่กี่เกมส์ที่สามารถทำให้เกิดบทสนทนาคุณภาพเกี่ยวกับชีวิตและการตัดสินใจของคนเราได้อย่างลึกซึ้ง ความรู้สึกคล้ายๆ เวลาคุณกับแฟนเดินออกมาจากโรงภาพยนต์ที่ฉายเรื่อง Inception เสร็จหมาดๆ

เกมส์นี้เกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตของเด็กผู้หญิงในเมืองอันแสนธรรมดาในอเมริกาคนหนึ่งที่บังเอิญพบว่าตัวเองสามารถย้อนเวลาได้ แม้ว่าเกมส์นี้จะเล่นได้แค่คนเดียว ผมคิดว่ามันเป็นเกมส์ที่ควรเล่นด้วยกัน (อาจจะเป็น “ดู” ด้วยกันมากกว่าเพราะว่ามันเหมือนภาพยนต์มากกว่าเกมส์)  เพราะว่าทุกครั้งที่เราลองผิดลองถูกในเกมส์เพื่อดูว่าการกระทำของตัวละครมันกระทบความสัมพันธ์ของเรากับคนรอบๆ และชะตาชีวิตของตัวละครแต่ละตัวยังไงแล้วค่อยย้อนเวลากลับมาเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด  มันสอนให้เรามองเส้นชีวิตตัวเองในอีกมุมมองใหม่และทำให้สงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าในอดีตเราทำ y แทนที่จะทำ x  ถ้าวันนั้นเราไม่ไปกินข้าวด้วยกัน หรือถ้าวันนั้นเราเลิกรากันไป วันนี้จะเป็นยังไงนะ? เป็นเกมส์ที่อาจจะมี teenage drama มากไปนิดแต่ผมว่า teenage drama นี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการข่มเหงกันหรือการคบหาเพื่อน ทะเลาะกับเพื่อน คบเพื่อนเกเรก็คงมีจริงในวัยเด็กของทุกๆ คน

บทเรียนที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็นตอนที่เกมส์นี้บังคับให้เราตัดสินใจอะไรยากๆ ที่จะดึงความเป็นมนุษย์ของเราออกมา เช่น เราจะช่วยชีวิตใครถ้าช่วยได้แค่คนเดียว หรือ เราเอาเพื่อนมาก่อนหรือเอาตัวเรามาก่อน  การตัดสินใจว่าอะไรควรทำ อะไรถูกอะไรผิดในสถานการณ์จำลองเหล่านี้จะทำให้คุณเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับแนวคิดของคู่รักคุณเพิ่มขึ้นอีกมากครับ

3. Ni no Kuni

nino

ความสนุก: 9/10

ความเครียด: 2/10

โอกาสทะเลาะ: 0/10

บทเรียน: 4/10

ถ้าให้ผมสรุปในประโยคเดียว Ni no Kuni คือเกมส์โปเกม่อนในโลกการ์ตูนจาก Studio Ghibli ที่มีระบบการเล่นคล้ายเกมส์ RPG เช่น Final Fantasy

ฮึ่ม…ฟังดูไม่น่าจะเวิร์คในการเชื้อชวนฝ่ายหญิงใช่ไหมครับ ทั้งโปเกม่อน ทั้ง RPG… ท่าจะยาก

เกมส์นี้จริงๆ ตอนแรกเราไม่ได้อยากเล่นเลยด้วยซ้ำ (ดูเด็กมาก) แต่พอเปิดขึ้นจอมาเท่านั้นแหละก็วางไม่ลงเพราะศิลปะการวาดมันสวยเหลือเกินและเนื้อเรื่องที่ไร้พิษภัยแต่น่าหลงไหลจะทำให้คุณลืมโลกจริงไปชั่วขณะ และคอ RPG จะพบว่าที่จริงแล้วมันเป็นเกมส์ RPG ที่ทำได้ดีในหลายมิติมาก

แม้ว่า Ni no Kuni จะไม่ได้มีบทเรียนอะไรสำหรับคู่รักมากนัก มันเป็นนิทานก่อนนอนชั้นเยี่ยมที่จะทำให้หลับฝันดีในคืนที่คุณอยู่ในมู๊ดผจญภัยในโลกแห่งความฝันครับ

4. Pixel Junk Monster

ความสนุก: 9/10

ความเครียด: 10/10

โอกาสทะเลาะ: 4/10

บทเรียน: 9/10

Pixel Junk Monster เป็นเกมส์อินดี้แนว tower defense ที่ผมว่าทำให้เล่นด้วยกันสนุกและท้าทายมาก จุดมุ่งหมายคือคุณกับคู่หูจะต้องใช้เงินและทรัพยากรอันจำกัดเพื่อสร้างป้อมเอาไว้ป้องกันไม่ให้ปีศาจที่จะมาเป็นระลอกๆ เข้ามาทำร้ายลูกๆ ในรัง

ผมว่ามันเป็นเกมส์ที่เสริมสร้าง communication skills ได้อย่างมีประสิทธิภาพในเวลาจำกัดมากเพราะพวกคุณมีเงินจำกัด ป้อมแพง ศัตรูเยอะ และเวลาจำกัด แต่ละคนไม่สามารถสละเวลามาเทคแคร์อีกคนได้มากขนาดนั้นแต่ก็ต้องเล่นกันเป็นทีม  ต่างคนต่างเล่นไม่ได้

เวลาคุณเล่นจะมีคำถามผุดขึ้นมามากมายที่คุณจะต้องตอบให้ได้ เช่น จะทำอย่างไรให้คู่เราเชื่อมั่นในการตัดสินใจของเรา? จะให้ใครเป็นคนสร้างป้อมโน้น แล้วตรงนี้ล่ะใครดูแล?ใครจะเป็นคนตัดสินใจซื้อป้อมที่ราคาแพง? ก่อนจะซื้อป้อมต้องถามอีกฝ่ายก่อนไหม? ถ้าเราทำพลาดเราควรบอกอีกฝ่ายไหม? หรือทำเนียน ๆ ไป?

ประเด็นสำคัญเหล่านี้มันคล้ายคำถามในใจเวลาเราทำอะไรร่วมกันกับคู่ของเราในชีวิตจริงมาก เช่น การซื้อของเข้ามาประดับบ้าน การลงทุนซื้อที่ดิน และการคัดเลือกหนังสือมาให้ลูกอ่าน การเลือกโรงเรียนให้ลูก เป็นต้น  อีกข้อดีของ Pixel Junk Monster คือมันเล่นออนไลน์ด้วยกันได้ด้วยครับ

5. Ticket to Ride

ttr

ความสนุก: 8/10

ความเครียด: 2/10

โอกาสทะเลาะ: 9/10

บทเรียน: 8/10

Ticket to Ride ที่จริงเป็น board game ที่โด่งดังมาก แต่ระยะหลังทำ app ออกมาในมือถือและแท็ปเล็ตได้อย่างดีเยี่ยม จุดหมายของเกมส์นี้คือจะทำอย่างไรให้จองทางรถไฟให้เชื่อมเมืองแต่ละเมืองได้ด้วยทรัพยากรอันจำกัดในขณะที่อีกฝ่ายก็กำลังทำอย่างเดียวกัน (และอาจจะสร้างกันทางที่คุณต้องการด้วย)

ข้อดีและข้อเสียของเกมส์นี้คือข้อเดียวกัน นั่นก็คือคุณต้องเล่นแข่งกัน เพราะฉะนั้นถึงจะเป็นเกมส์ที่ไม่ค่อยเครียดนักแต่โอกาสทะเลาะกันมีสูง ขึ้นกับว่าคุณเคารพอีกฝ่ายแค่ไหนและมีมุมมองเกี่ยวกับการแพ้ชนะอย่างไร

ถือว่าเป็นเกมส์ที่มีกฎกติกาเข้าใจง่าย เล่นผ่านเน็ตด้วยกันก็ได้ และต้องใช้ทั้งสมองและ EQ ในการเล่นกับคนรักโดยไม่ทะเลาะกัน

6. Keep Talking and Nobody Explodes

kt

ความสนุก: 15/10

ความเครียด: 30/10

โอกาสทะเลาะ: 10/10

บทเรียน: 30/10

เกมส์นี้เป็นเกมส์ที่ถ้าไม่รักกันจริง ไม่รู้จักกันจริง ไม่ควรเล่นด้วยกัน

KTNE เป็นเกมส์ที่ไอเดียประเจิดมาก ผู้เล่นคนหนึ่งอยู่กับระเบิดเวลาไม่มีคู่มือแก้ระเบิด ส่วนผู้เล่นอีกคนห้ามมองจอแต่มีคู่มือกู้ระเบิดอยู่ในมือ  เป้าหมายคือจะสื่อสารกันยังไงให้คนที่อยู่กับระเบิดสามารถแก้ puzzles ในแต่ละช่องของกล่องระเบิดได้ก่อนที่เวลาจะหมดและห้ามทำอะไรผิดเกินสองสามที

ที่เกมส์นี้สนุก (และเครียดมาก) เป็นเพราะว่าคู่มือกู้ระเบิดถูกดีไซน์มาแบบขำๆ ทำให้คุณต้องใช้สมอง ใช้ความช่างสังเกต ความใจเย็น ความไม่ถือว่าตนถูกเสมอ และทักษะในการสื่อสารมากเป็นพิเศษในเวลาอันจำกัด อาทิเช่น มีการใช้ code ที่กำกวมมากๆ ในคู่มือเช่น They, Their, They’re, หรือ They are (คนไทยอ่านออกเสียงชัดมากไม่น่ามีปัญหา)  หรือมีสัญลักษณ์ขีดเขียนเป็น code หยึกๆ งอๆ บางอย่างบนแป้นแก้ระเบิดที่ไม่รู้จะอธิบายด้วยคำพูดยังไง หรือไม่ก็มี puzzle บางประเภทที่ทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นง่ายมาก ลองดูตัวอย่างคู่มือในภาพด้านล่างนะครับ

bm

จะเห็นว่าคนสร้างเกมส์เขาตั้งใจให้มีโอกาสทำอะไรผิดพลาดในการสื่อสารและผู้เล่นอาจจะเริ่มโทษกันเองว่าใครพูดผิดหรือจำผิดแทนที่จะร่วมมือกันโฟกัสกับปัญหาที่แท้จริง  เกมส์นี้หินมากก็จริง แต่ high risk high return มากๆ

ที่ยากกว่านี้เห็นจะมีแค่เกมส์เดียวคือการเล่นวินนิ่งทีมเดียวกับแฟนที่เกลียดฟุตบอล…

7. Uncharted 3

uc3

ความสนุก: 15/10

ความเครียด: 4/10

โอกาสทะเลาะ: 2/10

บทเรียน: 1/10

Uncharted 3 เป็นเกมส์ผจญภัยระดับ A+ ที่เล่นแล้วเหมือนได้ดูภาพยนต์แนวผจญภัย + thriller ดีๆ 20 ชั่วโมงต่อกัน 

ถึงแม้ว่าเกมส์นี้จะมี cooperative mode ให้คุณเล่นกับแฟนได้ ผมว่าจุดเด่นที่สุดของเกมส์นี้อยู่ที่เนื้อเรื่องหลักที่น่าตื่นเต้นและเต็มไปด้วยการหักมุมแม้จะเล่นได้ทีละคนก็ตาม

หากแฟนคุณไม่เคยลิ้มรสวิดีโอเกมส์และชอบอะไรที่น่าตื่นเต้นและมีการ develop character ของตัวละครลึกๆ ผมแนะนำให้ลองหา Uncharted 3 มาลองเล่นดูเพราะว่า production value และบทพูดกับเนื้อเรื่องไม่แพ้ภาพยนต์ชั้นนำครับ

8. Rhythm Heaven

Rhythm-heaven-fever

ความสนุก: 9/10

ความเครียด: 0/10

โอกาสทะเลาะ: 0/10

บทเรียน: 2/10

Rhythm Heaven เป็น “เกมส์จังหวะ” ที่เบาสมองและสนุกเกินกว่าที่จะหลุดท๊อปเท็นนี้ไปได้ ไอเดียก็คือคุณมีหน้าที่แกว่ง Wii mote ให้ถูกจังหวะไปพร้อมๆ กับตัวการ์ตูนที่มักจะทำอะไรงี่เง่าๆ แต่ตลกดี เช่น คุณต้องแกว่ง Wii mote ตามจังหวะเพลงรักหวานแหววเพื่อช่วยนักเรียนม.ปลายแกว่งขาเตะลูกบอลหลากชนิดที่กำลังลอยมาใส่เพื่อไม่ให้มันมาขัดขวางการนั่งสวีตกับแฟนสาวของเขา

และเกมส์นี้มีจุดเด่นอีกข้อคือคนที่ไม่ได้เล่นอาจจะสนุกกว่าคนที่กำลังเล่นเสียอีก เพราะคนที่ไม่ได้เล่นอยู่จะได้เห็นคนรักของเขาในอิริยาบถที่ประหลาดและหาดูได้ยากในชีวิตประจำวัน!

9. Heads Up

hu

ความสนุก: 10/10

ความเครียด: 0/10

โอกาสทะเลาะ: 0/10

บทเรียน: 1/10

Heads Up เป็นเกมส์ที่จริงๆ ไม่ควรติดอันดับท๊อปเท็นแต่ติดเพราะว่าเราหยิบมันมาเล่นบ่อยเหลือเกินเวลาเบื่อๆ เนื่องจากมันไม่ต้องการอะไรเลยนอกจากมือถือเครื่องเดียว 10 นาทีก็จบ ไม่ต้องบล๊อคเวลาออกเป็นชั่วโมงๆ

เกมส์นี้คืเกมส์ใบ้คำโดยใช้แค่ท่าทางแต่ห้ามใช้คำพูด  คนที่เป็นคนทายถือมือถือไว้ที่น่าผาก เอาจอหันออก คนทายก็จะมองเห็นคำที่ตัวเองต้องทำท่าทาง

….หารู้ไม่ว่าระหว่างที่ทำท่าทางเกมส์นี้ใช้กล้องอัดวีดีโอเอาไว้ให้ดูตอนหลังอีกด้วย ยิ่งสนุกขึ้นไปใหญ่ครับ

10 Just Dance

jd

ความสนุก: 7/10

ความเครียด: 0/10

โอกาสทะเลาะ: 0/10

บทเรียน: 5/10

อันดับสุดท้ายคือเกมส์เต้นที่โด่งดังที่สุดหลังจากยุค DDR  เกมส์นี้เป็นเกมส์ที่สนุกเพราะมันไม่ซีเรียส คุณไม่ต้องเป็นแชมป์เต้นก็สามารถสนุกกับมันได้ แถมยังมีเพลงที่เต้นคู่ได้อีกด้วย โดยที่ choreographer ของเกมส์นี้ดีไซน์ท่าเต้นออกมาได้ “เริ่ด” สุดๆ

ข้อดีอีกข้อของเกมส์นี้คือมันเป็นการบังคับให้คุณทั้งคู่ออกกำลังกายด้วยกันอย่างสนุกสนาน ไม่เครียด และเฮฮา

สรุป

เกมส์ 3 ประเภทที่ทำให้เกิดประสบการณ์ที่ดีมากๆ สำหรับผมกับภรรยาคือ 1) เกมส์ที่ยากและต้องช่วยกันเล่น (โดยไม่ทะเลาะกันไปก่อน) ถึงจะชนะ 2) เกมส์ที่ถึงแม้ว่าเล่นได้แค่คนเดียวก็ยังสนุกเพราะมันเหมือนได้ดูหนังดีๆ ที่เรา interact กับมันได้  3) เกมส์ที่เบาสมองมากๆ แล้วสนุก ไม่ต้องคิดมาก   โดยส่วนตัวคิดว่าเกมส์ประเภทที่ 1 เป็นอะไรที่น่าจดจำกว่าประเภทอื่นมาก น่าจะเป็นเพราะว่ามันทำให้เรารู้สึกว่า “เราผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะ” อารมณ์ประมาณไปออกค่าย ไปสู้รบเคียงบ่งเคียงไหล่กันมา ทำนองนั้นครับ

อย่างที่ผมเคยเขียนไว้ในบทความคราวก่อน การเล่นเกม cooperative กับคนรักสรุปได้ว่ามีประโยชน์ดังนี้:

    1. เป็นการใช้เวลาอย่างมีคุณภาพ และราคาไม่แพง – เมื่อเทียบกับการดูหนังหรือดินเนอร์มื้อหรู
    2. เป็นการสร้างสถานการณ์จำลองที่ทำให้ทั้งคู่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน
    3. ฝึก communication skills – การคุยกันรู้เรื่องจะทำให้ทะเลาะกันยากขึ้น
    4. ทดสอบการทำงานร่วมกันเป็นทีมในหลาย ๆ สถานการณ์ – เป็นการเตรียมพร้อมก่อนเข้าสู่ชีวิตคู่ที่แท้จริง
    5. ทดสอบว่าเรารับมือกับความล้มเหลวหรือสถานการณ์ตึงเครียดอย่างไร – เวลาเกมยาก หรือ gameover จะทำอย่างไร โทษกันเองไหม? หรือว่าพยายามใหม่
    6. รู้จักใจเย็นและฝึกให้เราหาจุดเด่นของคู่เรา ไม่ใช่ซ้ำเติมแต่จุดด้อย – เป็นการทำให้คู่ของเราสามารถทำอะไรได้ดีขึ้นร่วมกัน
    7. ทดสอบไหวพริบคู่ของเรา – เพื่อทั้ง compatibility และความปลอดภัยของอนาคตเราเอง

ผมหวังว่าคนที่ต่อต้านวิดีโอเกมส์และไม่ชอบให้แฟนเล่นเกมจะเปิดใจกว้างขึ้น และพยายามชวนให้แฟนเลิกเล่นกับคอมอย่างเดียวแล้วหันมาเล่นกับคุณแทนเพื่อใช้เวลา quality time กับคุณ

ส่วนสำหรับเกมเมอร์ที่แฟนชอบบ่นว่าทำไมเล่นแต่เกมนะครับ  คุณลองออกไปซื้อเกมส์พวกนี้มา แล้วลองชวนแฟนคุณเล่นกับคุณดูครับ คุณจะมีความสุขกับชีวิตคุณเอง (เพราะยังได้เล่นเกมส์) และมีความสุขกับชีวิตคู่ของคุณมากขึ้นแน่นอนครับ

สุดท้ายนี้ผมคิดว่าจุดประสงค์ของการเล่นเกมส์ด้วยกันไม่ได้แค่ว่าเราต้องชนะเสมอ แต่คือคุณทั้งสองได้รับความสนุกสนานและได้อัพเลเวลความสัมพันธ์จากการเล่นมันต่างหากครับ

ผู้อ่านท่านไหนเคยเล่นเกมส์พวกนี้หรือมีเกมส์อื่นๆ ที่คิดว่าน่าจะเข้าท่า comment มาได้เลยครับ

ความสัมพันธ์ ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ วิดีโอเกมส์ เกมส์


Previous Next

Leave a Reply

Your email address will not be published.

Cancel Post Comment

keyboard_arrow_up