เคยสงสัยบ้างไหมว่าคนไทยโดยเฉลี่ยแล้วคิดว่าอะไรคือประชาธิปไตย?
คิดอย่างไรเกี่ยวกับการแต่งงาน?
หรือคิดว่าอะไรเป็นสิ่งที่สำคัญในตัวลูก?
ที่น่าสงสัยกว่าคือเมื่อเทียบกับชาติอื่น ๆ แล้ว ค่านิยมกับทัศนคติของคนไทยอยู่ตรงไหน?
แม้ว่าค่านิยมกับทัศนคติจะเป็นอะไรที่จับต้องไม่ได้ วัดออกมาเป็นตัวเลขได้ลำบาก แต่ผมคิดว่าสองสิ่งนี้เป็นอะไรที่จำเป็นมากต่อการพัฒนาประเทศและผลักดันให้สังคมเจริญก้าวหน้าได้อย่างราบรื่น ในโพสนี้ผมไปสืบข้อมูลจาก World Values Survey และคัดเอาผลสำรวจค่านิยมและทัศนคติของคนไทยเทียบกับคนชาติอื่น ๆ มาให้ผู้อ่านลองขบคิดไปด้วยกันว่ามันสะท้อนความเป็นจริงแค่ไหนและทำไมผลลัพธ์มันถึงออกมาเป็นเช่นนี้
World Values Survey คือโครงการวิจัยค่านิยมและวัฒนธรรมโดยใช้การตระเวนไปทั่วโลกเพื่อสอบถามประชากรในประเทศต่าง ๆ ว่ามีความเห็นอย่างไรในเรื่องต่าง ๆ ตั้งแต่การเมืองการปกครองไปจนถึงเรื่องศีลธรรม โดยข้อมูลที่ผมคัดมาคราวนี้มาจากแบบสอบถามหลายชุด (ประมาณปี 2006-2007 แล้วแต่ประเทศ) sample size ประมาณพันกว่าคนสำหรับทุกประเทศ หากผู้อ่านท่านใดอ่านโพสนี้แล้วอยากเจาะลึกลงไปทำ statistical analysis จริง ๆ จัง ๆ สามารถดาวน์โหลดข้อมูลดิบได้ที่นี่
ผลจากแบบสอบถามนี้บ่งบอกถึงความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยแบบ “งง ๆ” ของคนไทยด้วยสองเหตุผล
เหตุผลแรกคือคนไทยจำนวนไม่น้อยเลยที่ตอบว่าการมีระบอบประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ดีกลับตอบว่าการมีผู้นำที่เก่งแต่ไม่ต้องยุ่งกับการเลือกตั้งหรือรัฐสภาก็เป็นสิ่งที่ดีเหมือนกัน ลองดูตารางข้างล่างครับ
[table id=16 /]
วิธีอ่านตารางข้างบนนี้ไม่ยาก มองเป็นหลัก ๆ เอา (column) ยกตัวอย่างคือ ช่องแรกซ้ายบนที่มีตัวเลข 23.3 แปลว่า 23.3% ของคนไทยที่ตอบว่าการมีระบอบประชาธิปไตยนั้น “ดีมาก” ก็ตอบ “ดีมาก” สำหรับอีกคำถามเกี่ยวกับการมีผู้นำเก่งที่ไม่ต้องยุ่งกับการเลือกตั้งหรือรัฐสภา (แถว row) เหมือนกัน….
การที่เราเห็นผลลัพธ์แบบนี้มันอาจจะบ่งบอกว่าคนไทยจำนวนมากไม่เห็นความสำคัญว่าผู้นำต้องควรมาจากการเลือกตั้งหรือควรมีปฏิสัมพันธ์กับสภา เอาแค่ว่าเก่ง พาบ้านเมืองไปข้างหน้าได้ก็พอ อย่างอื่นมาทีหลัง
ข้อสันนิษฐานข้างบนอาจจะไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงก็เป็นได้ จริง ๆ แล้วอาจจะเป็นเพราะว่าประชากรเราเบื่อหน่ายกับการเลือกตั้งหรือการอภิปรายก็เป็นได้ แต่โดยปกติแล้ว ตัวเลขใหญ่ ๆ ไม่ควรจะอยู่ในช่องแถบ ๆ บนซ้ายอย่างในกรณีประเทศเรา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่ปกครองระบอบนี้และต้องการระบอบนี้)
ดูจากรูปข้างบนจะเห็นเทรนด์ว่าในหลายประเทศที่เราคุ้นเคยเขาจะไม่ค่อยมีความขัดแย้งแบบกรณีเราไม่ว่าจะปกครองระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ก็ตาม… อย่างน้อยที่สุดช่องแถว ๆ บนซ้ายไม่ควรเขียวครับ
เหตุผลที่สองคือคนไทยจำนวนไม่น้อยเลยที่ตอบว่าการมีระบอบประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ดีกลับตอบว่าจะไม่มีวันเดินขบวนหรือประท้วงแบบถูกกฎหมาย
[table id=12 /]
ตัวเลขด้านบนนี้น่าเป็นห่วงนะครับ เพราะว่ามันแปลว่าประชากรไทยทำหน้าที่ “democratic citizen” แค่สี่ปีครั้งหรือเฉพาะเวลามีเลือกตั้งเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนาจะออกเสียงนอกคูหากันเลย นอกนั้นส่วนมากคงเป็นแค่การดูอภิปราย อ่านข่าว ถกเถียงกันด้วยลมปากหรือเป็นการเดินขบวนที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น อย่างกับว่าประชาชนถูกแยกออกมาจากเกม ไร้เรี่ยวแรงแบบถูกกฎหมายนอกคูหา เห็นอย่างนี้แล้ว “กำลัง” จากภาคประชาชนที่จะเอามากดดันรัฐบาลระหว่างเวลาสี่ปีจะมาจากไหน?
ผมเคยเขียนเกี่ยวกับความเชื่อมั่นในตัวนักการเมืองไปแล้วในโพสนี้ ความไว้วางใจเจ้าหน้าที่/ภาครัฐนั้นเป็นอะไรที่ทุกประเทศควรมีนะครับ…. ลองคิดถึงสังคมที่ไม่มีใครไว้ใจทหาร ตำรวจ ตำรวจดับเพลิง หรือนักการเมืองในการทำหน้าที่ของเขาดูสิครับ สังคมจะอยู่ไปอย่างราบรื่นได้อย่างไร
[table id=13 /]
ในตารางด้านบน ไทยเรามีความไม่ไว้วางใจในกองทัพสูงเกินไปนะครับในความคิดผม เกือบ 50% ไม่ค่อยไว้วางใจ ผิดกับประเทศอื่น ๆ ที่คนส่วนมากอย่างน้อยจะมั่นใจพอสมควร
[table id=14 /]
สำหรับตำรวจก็เจอเทรนด์เดิม จะมีก็อินโดนีเซียที่คล้าย ๆ เราคราวนี้
[table id=15 /]
สุดท้ายคือความไม่ไว้วางใจในรัฐสภา อันนี้เราไม่ประหลาดนัก แต่ผมอยากชี้ให้ผู้อ่านลองมองเวียดนามกับจีนให้ดี ๆ ครับ ทั้งสามตารางนี้ประชาชนเขาเชื่อมั่นในหน่วยงานเหล่านี้มากเหลือเกิน นี่อาจจะเป็นข้อได้เปรียบของประเทศที่มีรากฐานแบบ socialist (ที่ยังอยู่รอดมาได้ถึงทุกวันนี้)
จากกราฟด้านบนจะเห็นได้ว่าคนไทยจำนวนมากค่อนข้างที่จะมีอคติกับการแข่งขันเมื่อเทียบกับชาติอื่น ๆ เกือบครึ่งหนึ่งเอนไปทางที่ว่าการแข่งขันไม่ค่อยเป็นสิ่งที่ดี ที่เราเห็นอย่างนี้อาจจะเป็นเพราะว่าคนไทยคิดว่าการแข่งขันนั้นนำความแตกแยกมาสู่สังคมมากกว่าความเจริญก็เป็นได้ หากผู้อ่านลองมองดี ๆ จะเห็นว่าญี่ปุ่นก็คล้าย ๆ เราในคำถามนี้ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ค่อนข้างต่อต้านการแข่งขันสไตล์ตะวันตกมาก บริษัทยักษ์ ๆ จึงมีการฮั๊วกัน อุ้มไปอุ้มมา ทั้ง ๆ ที่บางบริษัทเน่าเป็น zombie company ไปแล้ว
ผู้อ่านอาจจะยังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ คุณครูมักให้พวกเราท่องว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น”
แต่ว่า……………
มองจากกราฟด้านบนแล้วสงสัยพวกเราจะลืมสุภาษิตนี้ไปแล้ว อาจจะเป็นเพราะคนไทยคิดว่าสังคมไม่แฟร์ก็เป็นได้ แต่ผมคิดว่ามันน่าสนใจที่ญี่ปุ่นก็เจอเทรนด์เดียวกัน หรือว่ามันมีความเชื่อมโยงแบบลับ ๆ ระหว่างทัศนคติเกี่ยวกับการแข่งขันกับผลตอบแทนจากการทำงานหนัก? อาจจะเป็นเพราะว่าถึงแม้คนไทยกับคนญี่ปุ่นจะขยันทำงานแข่งกับคนอื่นหรือแข่งกับตัวเองแค่ไหนระบบสังคมมันไม่ทำให้ชีวิตดีขึ้นเลย….(ก็เป็นไปได้ เพราะว่าชีวิต salary man ในญี่ปุ่นมันช่างโหดร้ายจริง ๆ)
[table id=3 /]
ตั้งแต่เล็กจนโต ผมได้ยินมาว่าการแต่งงานถือเป็นอะไรที่สำคัญต่อชีวิตคนเรามาก ๆ แต่เมื่อเทียบกับชาติอื่น ๆ แล้วจะเห็นว่าเรามีทัศนคติเกี่ยวกับการแต่งงานที่แตกต่างออกไปมากทีเดียว ตารางด้านบนบ่งบอกว่ามีคนไทยหนึ่งในสี่คน (จากที่ไปสอบถามมา) ที่เห็นว่าการแต่งงานเป็นอะไรที่ล้าสมัย เป็นเพราะว่าสังคมเรากดดันและคาดหวังอะไรจากคู่สมรสมากเกินไปหรือ? หรือว่าการคลุมถุงชนยังเป็นที่นิยมกันอยู่?
ทัศนคติต่อสิ่งที่สำคัญในตัวลูกน่าจะเป็น leading indicator แบบหยาบ ๆ ที่จะบอกใบ้ได้ว่าพ่อแม่ในแต่ละประเทศอยากเลี้ยงลูกให้ออกมาแนวไหนและประชากรรุ่นใหม่ ๆ ในอีกสิบยี่สิบปีน่าจะมีคุณสมบัติใดบ้าง คำถามคือ:
Here is a list of qualities that children can be encouraged to learn at home. Which, if any, do you consider to be especially important? Please choose up to five!
[table id=5 /]
มองจากตารางด้านบนที่ให้คนเลือกว่าคุณสมบัติใดในตัวลูกที่สำคัญเป็นพิเศษถ้าเลือกได้แค่ห้าอย่าง จะเห็นได้ว่าคนจากแต่ละประเทศให้ความสำคัญกับคุณสมบัติที่แตกต่างกันพอสมควรเลยทีเดียว (กดปุ่มshowด้านบนเพื่อโชว์คุณสมบัติอื่น ๆ ครับ)
คำถามคือ
Please tell me for each of the following actions whether you think it can always be justified, never be justified, or something in between: For a man to beat his wife
ข้อนี้…ไม่แน่ใจว่ามันเป็นไปได้อย่างไร…ผมค่อนข้างช๊อค ในโลกที่สวยงามทุกคนควรจะตอบว่า “ไม่มีทางเถียงได้ว่าถูกต้อง” และกราฟด้านบนควรจะเป็นสีน้ำเงินเข้มทั้งหมด ทำไมถึงมีคนไทยกับคนมาเลย์จำนวนมากที่คิดว่าการทุบตีภรรยาเป็นอะไรที่สามารถเถียงให้ถูกต้องได้ในหลายระดับมากกว่าชาติอื่น?
ที่น่าสลดกว่าคือเมื่อแบ่งคำตอบตามเพศของผู้ตอบ ผลลัพธ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปขนาดนั้น… มีผู้หญิงไทยแค่ 39% ที่ตอบว่า “ไม่มีทางเถียงได้ว่าถูกต้อง” ผมงง… หรือมันเป็นเพราะว่าผู้หญิงก็อยู่ในสังคมเดียวกัน ความคิดและทัศนคติก็โดนกลืนกินไปด้วย…
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม คนไทยก็ยังภูมิใจในชาติตัวเองมากที่สุดในกลุ่มประเทศที่ผมคัดมาวันนี้ครับ! สัดส่วนคนไทยที่ “ภูมิใจมาก” เลยค่าเฉลี่ยทั่วโลกไปเยอะอยู่เหมือนกัน
อ่านโพสนี้ประกอบกับโพส “ตื่นเถิดชาวไทย” แล้วผู้อ่านมีความคิดเห็นอย่างไร เชิญ comment ได้ครับ
แหม่เป็นบทความที่ เปิดมุมมองได้มากเลยทีเดียวครับ
ขอแชร์ครับ