เราควรลงทุนกับการศึกษาในระดับอนุบาลแค่ไหน? นี่คือหนึ่งในคำถามคาใจของพ่อแม่รุ่นใหม่หลายคู่ที่จะต้องเผชิญหน้ากับโลกที่มีการแข่งขันสูงและค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูกและค่าเล่าเรียนที่ดูเหมือนจะสูงขึ้นทุกวี่ทุกวัน ควรจะหาอนุบาลใกล้บ้านหรือว่าควรจะลงทุนขับรถไปไกลหน่อยเพื่อแลกกับคุณภาพครูที่ดีกว่าและอัตราส่วนนักเรียนต่อครูที่น้อยลง คำถามเดียวกันเหล่านี้ก็เกิดขึ้นในใจของผู้บริหารประเทศเหมือนกันว่าการเอาเงินประเทศไปลงทุนในการศึกษาปฐมวัยมันคุ้มค่าแค่ไหนเมื่อเทียบกับการลงทุนในด้านอื่น มันคุ้มค่าแค่ไหนที่จะสั่งให้อนุบาลหรือโรงเรียนประถมต่างๆ ลดจำนวนนักเรียนต่อครูหนึ่งคนลงและยอมเสียเงินจ้างครูเพิ่มมากขึ้น
การที่คำถามเหล่านี้ตอบได้ยากเหลือเกินในอดีตนั้นเป็นเพราะว่าเราไม่สามารถเชื่อมโยงการเรียนรู้ในวัยเด็กกับผลลัพธ์เมื่อตอนเด็กๆ เหล่านี้โตขึ้นได้อย่างชัดเจนพอ อีกทั้งยังแยกแยะลำบากว่าผลลัพธ์ที่ดีขึ้นตอนที่เด็กโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนั้นเป็นผลมาจากคุณภาพของโรงเรียนอนุบาลหรือเป็นผลมาจากฐานะและความพยายามของพ่อแม่ที่จะต้องทำทุกสิ่งให้เอาลูกไปเข้าโรงเรียนที่ดีที่สุดให้ได้
โชคยังดีที่โลกนี้มีกลุ่มนักวิจัยอัจฉะริยะที่นำทีมโดย Raj Chetty นักเศรษฐศาสตร์หนุ่มที่จบปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ดตอนอายุแค่ 23 พวกเขาผลิตงานวิจัยคุณภาพที่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในงานวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ที่น่าตื่นเต้นที่สุดในรอบสิบปีที่ผ่านมา งานวิจัยในหัวข้อ “How Does Your Kindergarten Classroom Affect Your Earnings? Evidence from Project Star” สามารถตอบคำถามสำคัญๆ หลายคำถามได้พร้อมๆ กันในงานวิจัยเดียว พร้อมกับยังชี้ให้เห็นถึงผลระยะยาวของการศึกษาที่ไปไกลกว่าแค่คะแนนสอบเมื่อเด็กๆ เหล่านี้โตขึ้นไปทำงานและมีครอบครัว
เมื่อปี 1985-1989 เด็กอนุบาลกว่าหนึ่งหมื่นคนจากโรงเรียนกว่า 79 แห่งในรัฐเทนเนสซีได้เข้าร่วมโครงการการทดลองที่ชื่อว่า “Project Star” โดยโครงการนี้ใช้ล๊อตเตอรี่สุ่มเลือกนักเรียนและครูเข้าสู่ห้องเรียนที่มีจำนวนนักเรียนต่อครูต่างกัน กลุ่มหนึ่งมีนักเรียน 22 คนต่อห้อง อีกกลุ่มมีนักเรียน 15 คนต่อห้อง
เนื่องจากการที่โครงการนี้สุ่มให้นักเรียนและครูเข้าสู่ห้องเรียนแต่ละประเภทอย่างแรนดอม ผลลัพธ์ที่วัดได้หลังจากการสุ่มจะเป็นผลลัพธ์เพียวๆ ที่ปราศจากอิทธิพลของความสามารถเด็กที่วัดไม่ได้หรือฐานะของครอบครัว พูดง่ายๆ ก็คือเป็นผลลัพธ์ที่จำลองนโยบายลดหรือเพิ่มจำนวนนักเรียนต่อครูได้อย่างแท้จริงนั่นเอง เพราะเหตุนี้จึงมีงานวิจัยผุดเกิดขึ้นมาจำนวนมากที่ต่างก็พบว่าห้องเรียนเล็กๆ กับคุณภาพของครูนั้นมีผลดีต่อคะแนนสอบอย่างเห็นได้ชัด
แต่ปัญหาคือก่อนปี 2011 นี้ยังไม่มีงานวิจัยไหนที่ตอบได้ว่าผลของลักษณะและคุณภาพห้องเรียนกับคุณภาพครูนั้นจะมีผลต่ออะไรอีกบ้างนอกจากคะแนนสอบ เพราะจริงๆ แล้วเราไม่ได้ต้องการผลิตเด็กให้ออกมาฝนข้อสอบเก่ง แต่เราต้องการผลิตเขาออกมาเป็นผู้ใหญ่คุณภาพ
Raj Chetty และทีมนักวิจัยตอบคำถามนี้โดยการเชื่อมข้อมูลของเด็กๆ หมื่นกว่าคนใน Project Star เมื่อปี 1985-1989 เข้ากับข้อมูลแบบฟอร์มภาษีในปี 1996-2008 เมื่อเด็กๆ เหล่านี้เติบใหญ่เข้าสู่วัยทำงานและต้องเริ่มจ่ายภาษีเงินได้ ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าทีมวิจัยนี้คุยกับรัฐบาลสหรัฐฯอย่างไรจึงได้ข้อมูลภาษีมาแต่ต้องยอมรับว่าข้อมูลภาษีระดับรายคนในสหรัฐฯ นั้นมีมูลค่าอันมหาศาลเพราะว่าแบบฟอร์มภาษีนั้นสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับ
แค่นี้ผู้อ่านก็คงจะพอเห็นภาพแล้วว่าการมีข้อมูลวัยผู้ใหญ่ที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้สามารถที่จะทำให้เราศึกษาผลของการสุ่มเด็กและครูเข้าห้องเรียนบางประเภทในวัยเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนั้นฟอร์มข้อมูลภาษีเงินได้ที่ผู้ใหญ่ทุกคนจะต้องยื่นนั้นยังทำให้นักวิจัยสามารถเช็คว่าไม่มีการลำเอียงในผลลัพธ์ที่ได้เพราะว่าหาเด็กบางคนไม่เจอหรือเด็กบางคนไม่มาสอบ ในข้อมูลภาษีตอนโตนี้ทีมนักวิจัยเจอเด็กๆ ใน Project Star แทบจะทุกคน อีกทั้งการที่มีข้อมูลลึกซึ้งเกี่ยวกับผู้ปกครองนั้นยังทำให้นักวิจัยสามารถเช็คซ้ำอีกทีว่าล๊อตเตอรี่ที่เคยสุ่มไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้วมันแรนดอมจริงๆ หรือไม่ (ฐานะและลักษณะของครอบครัวในกลุ่ม control group กับกลุ่ม experimental group ไม่ควรจะต่างกันเกินไป)
งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ในระยะยาวของการศึกษาตั้งแต่ในวัยอนุบาล นอกจากนั้นงานวิจัยชิ้นนี้ยังทำให้เราเริ่มฉุกคิดได้ว่าคะแนนไม่ใช่ทุกอย่างและอาจจะไม่ใช่มาตรฐานที่ดีที่สุดในการวัดว่าอะไรเวิร์คไม่เวิร์คในการศึกษา
ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้เขียนคิดว่าคะแนนสอบยังเป็นมาตราวัดที่ขาดไม่ได้ แต่หากเรามัวแต่ประเมินความสำเร็จของนโยบายการศึกษาด้วยคะแนนสอบอย่างเดียว การที่ผลต่อคะแนนสอบมักหายไปตอนเด็กๆ ขึ้นม.ต้นนั้นอาจจะทำให้เราด่วนสรุปว่านโยบายนั้นไม่ได้เรื่องทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วผลของนโยบายนั้นอาจจะค่อยมาโผล่ขึ้นมาตอนที่เด็กๆ เหล่านี้เข้าสู่วัยทำงานก็เป็นได้ เพราะที่จริงแล้วเป้าหมายของการศึกษาคือการทำให้ชีวิตและสังคมก้าวหน้า ไม่ใช่แค่คะแนนไม่ใช่หรือ
ส่วนผลดีจากการเรียนในห้องที่มีจำนวนนักเรียนต่อครูน้อยและผลลัพธ์ต่อคะแนนสอบที่หายๆ ไปเมื่อเด็กขึ้นม.ต้นนั้นมีการสันนิษฐานว่าอาจจะมาจากการพัฒนา noncognitive skills ในช่วงอนุบาลที่ไม่สามารถวัดได้ง่ายด้วยข้อสอบ อีกทั้งยังมีการประเมินในงานวิจัยนี้ว่าผลจาก noncognitive skills เหล่านี้อาจมีส่วนช่วยอธิบายรายได้ที่มากขึ้นในวัยผู้ใหญ่มากกว่าผลจาก cognitive skills ที่ข้อสอบวัดได้อีกด้วย
ผู้เขียนคิดว่าความน่าเชื่อถือของงานวิจัยนี้อยู่ในระดับที่สูง แต่ความตรงภายนอก (external validity) อาจจะไม่มากพอที่คนไทยจะสามารถเอามาอ้างอิงเพื่อใช้กับกรณีของประเทศเรา เพราะว่าเด็กๆ ใน Project Star พวกนี้อยู่โตขึ้นมาในรัฐเทนเนสซีซึ่งไม่น่าจะมีความคล้ายคลึงกับเด็กๆ ในเมืองไทยเท่าไรนัก ทำให้เทียบกันลำบาก ดูอย่างเกาหลีใต้เป็นตัวอย่าง จำนวนนักเรียนต่อครูที่นั่นสูงเหลือเกินแต่ล่าสุดก็ยังสามารถผลิตเด็กเก่งๆ ออกมาได้ชนะเด็กๆ จากอีกหลายประเทศที่เน้นจ้างครูเพิ่มเพื่อลดขนาดห้องเรียน เพราะฉะนั้นถ้าเราสุ่มสี่สุ่มห้าลดขนาดห้องเรียนโดยยังไม่มั่นใจว่ามันจะเวิร์คหรือเปล่ามันอาจจะเป็นการเปลืองเงินประเทศไปเปล่าๆ ก็เป็นได้
แม้ว่าเราจะรู้อะไรเกี่ยวกับการศึกษามากขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก ยังเหลืออีกหลายคำถามที่เรายังตอบไม่ได้เช่น noncognitive skills นั้นควรจะเป็นมาตราวัดชิ้นใหม่หรือไม่ ครูคุณภาพควรจะมีคุณสมบัติอย่างไร ควรจะให้โบนัสครูหรือลงโทษครูตามผลงานหรือไม่ อีกทั้งยังเหลืออีกหลายสถานที่ที่ไม่ยังเคยมีการทดลองแบบ Project Star ทั้งนี้ผู้เขียนทราบดีว่าการจะทำการทดลองขนาดใหญ่อย่างนี้อีกทีในยุคสมัยนี้คงเป็นอะไรที่ทำได้ลำบากมากเพราะว่าไม่น่าจะมีพ่อแม่ที่ไหนในโลกที่มีการแข่งขันสูงขนาดนี้ที่จะยอมให้ลูกตัวเองโดนกำหนดชะตากรรมโดยล๊อตเตอรี่
อย่างไรก็ตามผู้เขียนหวังว่าอย่างน้อยบทความนี้จะสามารถชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของการแก้ปัญหาการศึกษาจากมุมมองเชิงวิทยาศาสตร์และคุณค่าของข้อมูลเชิงลึกระดับรายคนอย่างเช่นข้อมูลภาษีเงินได้ (จะดีมากถ้ามีคนไทยยื่นภาษีกันมากกว่านี้…) และบอกเป็นนัยๆ ว่าเราน่าจะให้โอกาสในการได้คุณภาพการศึกษาที่ดีตั้งแต่เล็กอย่างเท่าเทียมกันมากกว่านี้ เพราะว่าหากเด็กที่ฐานะดีได้การศึกษาที่ดีกว่าตั้งแต่อนุบาลอยู่ตลอดมันจะทำให้สังคมเกิดความเหลื่อมล้ำทางความสามารถและท้ายสุดสังคมก็จะอยู่กันลำบากครับ
ได้อ่านบทความดีๆมาตลอด ต้องขอบคุณมากๆครับที่ช่วยเติมเต็ม และยังเป็นความคาดหวังว่า ทีมบริหารกระทรวงศึกษาธิการ จะมีโอกาสได้อ่านงานวิจัยชิ้นนี้บ้างนะครับ
อรรณพ
ยินดีครับ ที่เขียนสรุปย่อๆ ก็เพราะหวังว่าคนที่มีอำนาจเปลี่ยนอนาคตประเทศและอนาคตเด็กไทยจะมีเวลามาอ่านเล่นๆ จุดประกายครับ
ขอบคุณมากค่ะที่เขียนบทความดีๆ ให้อ่าน จะติดตามผลงานไปเรื่อยๆ นะคะ อ่านแล้วรู้สึกมีกำลังใจในการพัฒนาและปรับปรุงการศึกษามากขึ้นเยอะเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆที่พี่เขียนออกมาให้ได้อ่านนะครับ
คำพูด ดีดี เช่นนี้ ไม่ควรจางหายไปในอากาศ สาธุชนทั้งหลายควรได้รับรู้ ตระหนัก และลงมือทำหน้าที่ของตนเองอย่างยิ่งยวด ขอบคุณมาก คุณเป็นเหมือนแสงตะเกียงส่องความรู้ สู่โอกาสการพัฒนาสังคมไทย