menu Menu
วิเคราะห์วิกฤต "ความโสด"
By ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ Posted in เศรษฐศาสตร์ภาษาคน on February 7, 2015 2 Comments 55 words
อธิบายภาวะ "บอนด์ยีลด์ติดลบ" Previous สวิตเซอร์แลนด์: ประเทศรักสงบในสงครามค่าเงิน Next

วิกฤตหมีขาวรัสเซียและวิกฤตค่าเงินฟรังก์สวิสหรือจะสู้วิกฤต “ความโสด” 

บางคนเพรียกหาความรักแต่ไม่เคยสมหวัง บางคนเนื้อหอมแต่กลับทำใจสละโสดไม่ได้  บางคนสละโสดได้แต่เก็บรักษาความรักไว้ไม่ได้  ปัญหาหัวใจเหล่านี้เป็นปัญหาให้กับคนทั้งโลกไม่ว่าสังคมที่ตนอยู่อาศัยจะพัฒนาแล้ว จะด้อยพัฒนา จะมีวัฒนธรรมบังคับให้คลุมถุงชน หรือจะเป็นเรื่องปกติที่ผู้คนใช้เว็ป online dating เพื่อหาคู่  ทุกคนล้วนที่จะต้องเผชิญหน้ากับโจทย์ระดับหินว่า “จะสละโสดดีไหม ทำไม ให้กับใคร และเมื่อไหร่”

บทความนี้จะนำเสนอแนวคิดของผู้เขียนเองปนๆ ไปกับทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์และแนวคิดในการลงทุนในรูปแบบที่อ่านง่ายๆ เพื่อช่วยตอบโจทย์นี้  เผื่อว่าผู้อ่านบางท่านจะนำข้อคิดเหล่านี้ไปเป็นกรอบความคิดในการวิเคราะห์ภาวะความรักหรือแก้วิกฤตความโสดของตัวเองกันครับ

***ปล.1 settaKid.com ไม่รับผิดชอบผลลัพธ์ของภาวะความรักของคุณที่จะมาจากการนำข้อคิดเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง!!
***ปล. 2 ข้อคิดเหล่านี้ assume ว่าเรามีเป้าหมายทำให้ตัวเราเองได้ประโยชน์มากที่สุด ซึ่งจะจริงหรือไม่จริงสำหรับแต่ละคนก็แล้วแต่กรณีไป
***ปล.3 การใช้คำว่า “ราคา” และ “ตลาด” ในบทความนี้ไม่ได้หมายความว่าความรักหรือร่างกายและจิตใจคนซื้อขายได้ด้วยเงินทองอย่างเดียว แต่แปลว่าในโลกเรามีการนำทรัพยากรบางอย่าง จะเป็นหยาดเหงื่อ เงินทอง ดอกไม้ ตุ๊กตา ความซื่อสัตย์ หรือความจริงใจก็ตามแต่มาแลกกับสินค้าและบริการที่ผลิตออกมาจากสิ่งที่เรียกว่าความรัก
***ปล.4 “ความรัก” ในบทความนี้หมายถึง romantic love ไม่นับรักพ่อแม่รักพี่น้อง  “ความโสด” ในที่นี้นั้นหมายถึงการที่ยังไม่มี “serious relationship”

จุดเริ่มต้นของวิกฤต: ตัวเราเอง

twilight-505849_640

ไม่ว่าจะวิกฤตการเงินหรือวิกฤตความรัก เราจะคลี่คลายวิกฤตได้ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจต้นตอของมัน

ต้นตอของวิกฤตนี้มีที่มาจากคำถามที่ว่า “จะมีคู่หรือไม่มีคู่ดี”

เราจะตอบคำถามแรกนี้ได้ก็ต่อเมื่อเรารู้จักตัวเองดีพอ ต้องคิดให้ได้ก่อนว่าที่จริงแล้วเราต้องการอะไรในชีวิต ทั้งในขณะนี้และในอนาคต 

หลายคนอาจไม่มอง “ความรัก” ในลักษณะนี้  อาจจะคิดว่าเราอยากคบใครเมื่อไหร่ก็คบ ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ แต่หากเราคิดดูดีๆ ยังไงเราก็จะต้องตอบคำถามชีวิตและเข้าใจความต้องการของเราอยู่ดีไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้เพราะว่าหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตรักนั้นมีเวลาจำกัด เมื่อเวลาผ่านไปแล้วไม่หวนคืนกลับมา เช่น การตัดสินใจมีบุตร หรือ จำนวนคู่ครองเป้าหมายที่ยังมีสถานะเป็นโสดอยู่และมีคุณลักษณะที่เราต้องการ

ตัวอย่างของคำถามที่เราควรถามตัวเองก่อนตัดสินใจสละโสดเพื่อคบหากับใครบางคนอย่างจริงจังคือ ในแต่ละห้วงเวลาต่างๆ ของชีวิตเรานั้นเราอยากใช้ชีวิตประจำวันอย่างไร มีใครอยู่กับเราบ้างไหมตอนเราอายุ 30 แล้วตอนอายุ 70 ล่ะ  เราอยากสร้างครอบครัวแบบไหน ตอนเราแก่เฒ่าเราอยากทำอะไร เราอยากมีลูกหรือเราอยาก adopt  เราแคร์ไหมว่าสังคมจะมองชีวิตเรายังไงถ้าเราไม่มีคู่ครอง  จากนั้นค่อยถามตัวเองว่าการมีคู่นั้นเป็นปัจจัยหลักในการทำให้ภาพในฝันเหล่านี้มันชัดขึ้นมาหรือไม่

ถ้าคุณตอบว่า “ใช่” ก็แปลว่าคุณจะต้องการสละโสดอย่างแน่นอนในอนาคตอันใกล้และอาจเป็นความคิดที่ดีหากคุณเริ่มคิดถึงการค้นหาคู่ครองอย่างจริงจัง

ราคาของความรักและความโสด

2210578082_f9b22486fd

เราคงเคยได้ยินกันว่าความรักหรือรักแท้เป็นอะไรที่ priceless เป็นอะไรที่มีมูลค่าสูงจนไม่สามารถตั้งราคาได้

แต่ใครๆ ก็ทราบว่านักเศรษฐศาสตร์มีนิสัยชอบแปะป้ายราคากับทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม  จริงอยู่มันอาจจะไม่ได้มี “ป้ายราคา” เป็นตัวเป็นตนพร้อมบาร์โค้ดและคู่มือการใช้งานแปะอยู่บนหน้าผากของผู้ชายหรือผู้หญิงคนที่คุณหมายปอง แต่ทุกการกระทำมีผลดีผลเสีย มี trade off เสมอ  การตัดสินใจจะมีคู่หรือจะคงสถานะความเป็นโสดอยู่ก็เหมือนกัน

สำหรับนักเศรษฐศาสตร์แล้วคนเราจะตัดสินใจ “รักจริงหวังแต่ง” หรือ “ขอแต่งงาน” กับคนๆ หนึ่งก็ต่อเมื่อผลลัพธ์ดีที่คาดว่าจะได้จากการคบกันนั้นสูงกว่าผลเสียหรือค่าใช้จ่ายที่จะมาในรูปแบบของ “alternatives foregone” เช่น การเป็นโสด หรือการแต่งงานกับคนอื่น  เรียกได้ว่าจะ “เซ็นสัญญารัก” ก็ต่อเมื่อมั่นใจแล้วว่าคนที่หมายปองอยู่นั้นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

คำถามถัดมาคือเวลาเราจะเทียบราคาหรือผลตอบแทนของการเป็นโสดกับการมีคู่ เราควรคำนึงถึงอะไรบ้าง

ที่จริงแล้วราคานี้จะขึ้นอยู่กับว่าคู่ครองเป้าหมายของเราคือใครและเขาอยู่ใน “ตลาดความรัก” ที่มีลักษณะอย่างไร  หากมองมุมกว้างๆ แล้ว การเป็นโสดนั้นมองเผินๆ ดูเหมือนจะมีราคาที่ต่ำเพราะว่าไม่มีความผูกมัดทั้งทางกฎหมายและทางสังคม  มีทางเลือกและทางหนีทีไล่มากมาย ไม่ต้องคำนึงถึงคำมั่นสัญญาใดๆ ไม่ต้องกังวลว่าจะโดนหักหลัง  ไม่ต้องแบกรับความรับผิดชอบของอีกหนึ่งชีวิต (หรือชีวิตของเด็กตัวเล็กๆ อีกสองสามคน)  เมื่อการคบกับคนๆ เดิมมันไม่คุ้มค่าเวลาก็สามารถเปลี่ยนไปคบคนใหม่ได้อย่างลื่นไหล transaction cost ทางจิตใจนั้นแทบจะไม่มี

แต่การเป็นโสดนั้นก็มีค่าใช้จ่ายแฝงมากอยู่เหมือนกัน 1) หนึ่งคือสังคมมักให้รางวัลคนที่มีคู่มากกว่าคนโสด เช่นบริษัทประกันมักมีทัศนคติที่ว่าคนโสดนั้นใช้ชีวิตที่โลดโผนกว่าคนที่แต่งงานแล้ว จึงมักเก็บเบี้ยประกันแพงกว่าคนที่แต่งงานมีลูกแล้ว 2) สองคือการมีคู่นั้นถ้าหาคู่ที่เหมาะสมได้อาจจะทำให้ชีวิตเราเติมเต็มขึ้นอย่างที่สถานะโสดทำให้เราไม่ได้ พูดง่ายๆ ก็คือ “สองหัวดีกว่าหัวเดียว” นั่นเอง  ทั้งนี้คนโสดอาจเถียงว่าเป็นโสดแล้วอาจมีสิบหัวพร้อมๆ กันเลยก็ได้ แต่ผู้เขียนคิดว่ามนุษย์เราโดยธรรมชาติแล้วเป็นสัตว์ที่ไว้ใจอีกฝ่ายยากโดยเฉพาะในมิติของความรัก คนเราไม่น่าจะสามารถควบคุมความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและเปิดใจให้กับคนอื่นเป็นสิบๆ คนพร้อมกันได้ในเวลาเดียวกันโดยไม่ทะเลาะกันบ้านแตกเสียก่อน

สองหัวดีกว่าหัวเดียวจริงหรือ

love-560783_640

Gary Becker นักเศรษฐศาสตร์โนเบลรุ่นเก๋าได้ริเริ่มสร้างทฤษฎีสำคัญเกี่ยวกับ “การแต่งงาน” ที่ทำให้เราสามารถอธิบายพฤติกรรมการหาคู่ของมนุษย์ได้นอกเหนือจากการใช้แค่ชีววิทยาเป็นคำอธิบายหลัก  เช่น การตอบคำถามว่าปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้คนเราแต่งงานหรือหย่ากัน ทำไมแต่งงานเร็วไปถึงอาจจะนำไปสู่การหย่าร้างได้ง่ายกว่า เป็นต้น

ทฤษฎีของ Gary Becker นั้นอธิบายความรักและการแต่งงานได้ไม่ครบทุกมิติแต่ผู้เขียนก็ยังชอบมิติที่เขากล่าวเอาไว้ว่าการมีชีวิตคู่นั้นเปรียบได้คล้ายกับการทำธุรกิจขนาดย่อม ต่างฝ่ายต่างนำเสนอและแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนเองสามารถให้กับความสัมพันธ์ได้  Gary Becker คิดว่าฝ่ายหญิงมัก specialize ในการเป็นแม่ศรีเรือน ส่วนฝ่ายชายมัก specialize ในการหารายได้  เราจะเห็นได้ว่าชีวิตคู่เช่นนี้สามารถก่อให้เกิด “gains from trade” ได้คล้ายกับในกรณีการค้าระหว่างประเทศที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์จากการส่งออกสิ่งที่ตนถนัด

ถึงแม้ว่าในสมัยนี้ที่เราจะมีเครื่องซักผ้า เครื่องล้างจาน มี Roomba (หุ่นยนต์ทำความสะอาดอัตโนมัติ) อาหารสำเร็จรูปที่อร่อย เร็ว และทำง่าย (และเอาใจไม่ยาก…) บวกกับการที่เพศหญิงสามารถทำงานหาเงินได้ไม่แพ้เพศชาย ผู้เขียนก็ยังคิดว่าทฤษฎีนี้ยังมีความเป็นจริงหลงเหลืออยู่ เพียงแค่สิ่งที่สองฝ่ายนำมาแลกเปลี่ยนกันอาจจะไม่ใช่แค่ความเป็นแม่ศรีเรือนหรือเงินทองเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป  อาจจะเป็นอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น เช่น การนำอุปนิสัยใหม่ๆ มุมมองโลกหรือประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกันมาแลกเปลี่ยนกันเพื่อเติมเต็มและยกระดับชีวิตคู่ให้อยู่สูงเหนือกว่าชีวิตโสดของคนสองคนต่างหาก

หากมองในมุมนี้ ในอนาคตนั้นเหล่าพ่อค้าหรือแม่ค้าที่จะเสียประโยชน์ในตลาดความรักก็คงจะเป็นคนที่พยายามเอาอะไรที่เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำได้ดีหรือที่หาซื้อได้ตามตลาดและถูกกว่ามาแลกเปลี่ยนนั่นเอง

แต่การตัดสินใจจะสละโสดนั้นยากขึ้นมากเนื่องจากสังคมสมัยใหม่ของมนุษย์นั้นสนับสนุนให้คนที่มีคู่นั้นแต่งงานเพื่ออยู่กับคนๆ เดียวตลอดไป (ยกเว้นบางศาสนา) ซึ่งหากลองคิดดูดีๆ แล้วธรรมชาติไม่ได้สร้างข้อบังคับนี้ขึ้นมา  อีกทั้งข้อบังคับนี้ยังขัดกับทางทฤษฎีด้วยซ้ำที่พยากรณ์เอาไว้ว่าฝ่ายชายจะต้องการภรรยาจำนวนมากขึ้นเมื่อตนมีรายได้มากขึ้น (หรือว่านี่คือที่มาของการมีชู้…)  ด้วยเหตุที่ว่าสัญญาของคู่ครองนั้นไม่เหมือนกับสัญญาในการค้าขายหรือการจ้างพนักงานที่มีการฉีกและเซ็นใหม่อยู่เรื่อยๆ กับคู่ค้าใหม่ๆ หรือพนักงานใหม่ๆ เมื่อความสัมพันธ์ดิ่งลงเหวคนที่มีคู่แล้วจึงมักจะไม่สามารถออกจากสัญญาเก่าได้ง่ายๆ  เมื่อเซ็นสัญญารักไปแล้วต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีโอกาสได้ทดลองของใหม่ที่อาจดีกว่าเก่าอย่างคนโสดทั่วไป  หากค่าใช้จ่ายในการฉีกสัญญารักยังสูงอยู่ (เช่น ความยากง่ายของการหย่าร้าง หรือ ความเจ็บปวดของจิตใจเรา) จุดนี้จะทำให้เราเห็นว่าการตัดสินใจจะมีคบใครบางคนอย่างจริงจังหรือจะเป็นโสดนั้นไม่ง่ายอย่างที่เราคิดและอาจจะต้องไปวัดกันที่ว่าคู่ครองที่จะสามารถสร้างชีวิตคู่ในฝันร่วมกับเรานั้นมีตัวตนอยู่ใน “ตลาด” ที่เราสามารถเข้าถึงได้จริงๆ หรือไม่

ค้นหาและศึกษาตลาด

Short-run_equilibrium_of_the_firm_under_monopolistic_competition

หากใครยังกังวลว่าเราไม่สามารถเทียบราคาหรือผลตอบของการเป็นโสดหรือการมีคู่ได้ ขอให้ลองสำรวจตลาด ทำ market research ไปพลางๆ ก่อนเพราะพลังของอุปสงค์และอุปทานบวกกับลักษณะของตลาดจะเป็นตัวกำหนดว่าตัวเลขนั้นจะตั้งอยู่ที่เท่าไหร่  อีกทั้งสิ่งเหล่านี้ยังมีส่วนสำคัญในการกำหนด “โอกาสจีบติด” และ “ค่าแรง” ของเราด้วยว่าเราจะต้องลงทุนทรัพยากรของเรามากแค่ไหน

หากเราต้องการคู่ครองที่มีคุณลักษณะที่หายากในตลาดและมีคนมากมายหมายปอง (สมัยนี้หน้าตาอาจจะไม่นับว่าเป็นอะไรที่หายากมากแล้วก็ได้เพราะว่าอาจเปลี่ยนได้ด้วยศัลยกรรม) เราจะลำบากที่จะต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งผู้ซื้อมากมายและลักษณะตลาดที่มีผู้ขายเพียงคนเดียวที่สามารถทำตัวเป็น monopoly ในตลาดนั้นและเรียก “ราคาจีบติด” ที่สูงกว่าปกติได้ ไอเดียนี้คล้ายๆ กับคำพูดที่ว่า “หล่อ/สวย/รวย เลือกได้”  และอาจอธิบายได้ว่าทำไมคนที่ popular มากๆ สมัยตอนเราเด็กๆ มักจะมีรุ่นพี่ซื้อดอกไม้ ตุ๊กตาใหญ่โตมาถมแทบไม่เห็นโต๊ะเรียน ในขณะที่คนที่ไม่ popular เท่าแค่ลูกอมหรือแค่เปลือกลูกอม heartbeat ยังไม่มีใครเอามาให้สักชิ้น!

หากคุณเคยผิดหวังกับราคาและการกระทำของคู่แข่งในอดีต เห็นทีคุณจะต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง  ไม่เปลี่ยนความต้องการใหม่หมดเลยก็เปลี่ยนไปหาตลาดที่มีผู้ซื้อจำนวนน้อยลง อาจจะเปลี่ยนไปหาคนแบบเดิมนอกที่ทำงาน เช่น ในสังคมอื่น แวดวงเพื่อนอื่นๆ หรือไม่ก็ต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อทำให้อำนาจในการต่อรองราคาของคุณสูงขึ้นด้วยการเป็นคนดีขึ้นหรือดูแลรูปลักษณ์ตัวเองมากขึ้น

คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง

divorce-619195_640

เราคงเคยได้ยินว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน”  คำเตือนนี้ยังคงความจริงนอกตลาดหุ้น  ในตลาดความรักนั้นถ้าจะถือสั้นเราอาจไม่ต้องศึกษาอะไรมากนัก แต่หากจะถือยาวไปชั่วชีวิตเราคงจะต้องทุ่มเทพลังและเวลาเพื่อศึกษา fundamentals ให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้  เป็นแมงเม่าไม่ได้นะงานนี้

อุปสรรคนี้มีต้นตอความเสี่ยงมาจากภาวะ “imperfect information”  เวลาเราเลือกคู่ชีวิตเราไม่สามารถทราบได้ทุกอย่างเกี่ยวกับคนคนหนึ่งได้เหมือนกับเวลาเราจะเลือกซื้อสินค้าบางอย่าง เช่น iPad  หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า  อย่างที่โน๊ตอุดมเคยเล่าเป็นเรื่องตลกไว้ว่าทำไมเวลาคบหากันมันถึงไม่มีคู่มือการใช้งานแนบมาด้วย  ก่อนเราจะซื้อ iPad เรารู้ spec ทุกอย่างเกี่ยวกับความสามารถ น้ำหนัก ความบาง ความเร็ว พลังงาน ความสวยงาม ความฉลาด หรือรู้แม้กระทั่งความง่ายในการขายต่อและราคามือสอง  ตอนแรกๆ ที่เรากำลังลังเลเลือกคู่ของเรารู้อะไรแค่ไหนกันเชียวจากการไปดูหนังหรือกินข้าวด้วยกันไม่กี่มื้อ

ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องมานั่งคิดดูให้ดีว่าราคาค่าตัวที่แปะอยู่บนบ่าคนในฝันของเรานั้นมันเหมาะสมกับคุณลักษณะทั้งที่จับต้องได้ (รูปลักษณ์และฐานะ) และทั้งที่มองไม่เห็น (ใบหน้าข้างใต้ make-up จิตใจเบื้องลึก หนี้สินที่ซ่อนไว้ บุคลิกที่แท้จริงข้างหลังหน้ากาก ฯลฯ) ว่ามันคุ้มราคาหรือ alternatives foregone เช่น การคงความเป็นโสด ไม่จีบ หรือไปจีบคนอื่นหรือไม่

ยังมีอีกหลายคำถามที่น่าคิดมาก เช่น คนเราควรหลอกหรือโก่งมูลค่าตัวเองเพื่อเอาชนะคู่แข่งหรือไม่เวลาตัวเองหาคู่ในตลาดความรัก  ผู้เขียนคิดว่าคงมีงานวิจัยทางทฤษฎีเกมที่จะช่วยตอบคำถามนี้ได้  ส่วนตัวแล้วคิดว่าไม่น่ามีประโยชน์ที่จะหลอกกันตราบใดที่ทุกคนอยาก “ถือยาว” และค่าใช้จ่ายในการหย่าร้างนั้นต่ำ  ผู้อ่านเห็นว่าอย่างไรก็ comment มาได้ครับ

ทางเลือกที่ดีที่สุดคงจะเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่เคยพูดเอาไว้ว่าให้ “คบหาดูใจกันไปก่อน”  เก็บข้อมูลเอามาเทียบกับสิ่งที่ตัวเองต้องการให้มากที่สุดก่อนจะเซ็นสัญญา  คำพูดนี้อาจจะฟังดูไม่ถูกใจวัยรุ่นเท่าไหร่นักแต่เป็นคำพูดที่ถูกทดสอบแล้วด้วยกาลเวลาเพราะมันสะท้อนปัญหาจากภาวะ imperfect information ได้ดีเหลือเกิน

ความรักไม่ใช่แค่เกมการค้า

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ผู้เขียนคงตอบไม่ได้ว่า “อะไรคือความรัก” แต่คิดว่าบทความนี้ตอบได้ว่า “อะไรไม่ใช่ความรัก”

ทั้งหมดที่กล่าวไปข้างบนนั้นไม่ใช่ความรักต่ออีกคนเลยสักนิด เป็นแค่ความรักต่อตัวเองทั้งสิ้น 

บางคนอาจคิดว่าเวลาคบกันใหม่ๆ ความหวานชื่นช่วงแรกที่หวานที่สุดนั้นคือความรัก  แต่ผู้เขียนคิดว่าในช่วงนั้นความรักที่แท้จริงยังไม่ได้ผลิบานเลยด้วยซ้ำ…เป็นแค่การค้นหาเมล็ดพันธุ์ที่ตนต้องการเท่านั้น

กรอบความคิดเหล่านี้อาจจะพาคุณไปหาคู่ครองในฝันที่คุณวาดภาพเอาไว้ได้จริงในวันที่คุณทั้งสองเซ็นสัญญารักร่วมกันแต่มันไม่การันตีว่าสัญญาของคุณจะถูกต่อออกไปยาวจนชั่วชีวิตหรือจะมีความสุขอย่างที่ใฝ่ฝันเอาไว้ตั้งแต่ต้น

ความรักไม่ใช่แค่เกมหรือสัญญาระหว่างสองคู่ค้า  หากมัวแต่ “เก็บแต้ม” แข่งกัน  (ผมทำตั้ง 10 ทำไมคุณทำให้กับครอบครัวเราแค่ 7)  หรือเอาสัญญาที่เคยเซ็นไว้มาคอยจับผิดกันตลอด สุดท้ายแล้วสิ่งที่ตามหามานานตั้งแต่ต้นก็จะไม่ใช่ความรักอีกต่อไป

สิ่งที่จะทำให้ชีวิตคู่มีความสุข มีรสชาติ และไม่เสียดายชาติเกิดจะมาจากการหมั่นดูแลดอกไม้ที่มาจากเมล็ดพันธุ์ที่คุณหามาได้ด้วยความรักและการกระทำของคุณหลังจากทั้งหมดนี้ต่างหาก

Happy Valentines Day ล่วงหน้าครับ

****1. สำหรับ tips เกี่ยวกับชีวิตคู่แนะนำให้อ่านบทความนี้ของ Huffington Post
****2. สำหรับแนวคิดเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับการหาคู่ ขอแนะนำบทความที่เพื่อนผู้เขียนเคยเขียนไว้ในบล็อกนี้
****3. สำหรับใครที่สนใจภาวะคนโสดขอแนะนำบทความซีรีส์พิเศษนี้ เกี่ยวกับภาวะ fertility rate ตกต่ำ

ความรัก วิกฤตความรัก เศรษฐศาสตร์


Previous Next

Leave a Reply

Your email address will not be published.

Cancel Post Comment

  1. เขียนได้น่ารักมากนะคะ อ่านแล้วชอบเลย เปรียบเทียบ เล่นคำได้น่ารักมาก

  2. นั่งอ่านบทความของผู้เขียนย้อนหลังมาเรื่อย ต้องชื่นชมว่าใช่คำได้อ่านง่ายดีค่ะ
    แต่เพิ่งทราบเหมือนกันว่า การมีคู่ ในแนวคิดนักเเศรษฐศาสตร์เป็นสไตลนี้
    น่าสนใจ…ดิฉันเลยไดhไอเดียดีที่จาก บทความนี้ต่อมาเลยว่า
    ผู้หญิงวัย 30 ที่ยังโสดล่ะ ลองเขียนจากสิ่งที่ตัวเองพบดู น่าสนใจ
    ขอบคุณบทความดีๆค่ะ

keyboard_arrow_up