สรุป 3 ประเด็นสำคัญจากการประชุม WEF 2017
ผมได้ติดตามความเคลื่อนไหวจากการประชุมเศรษฐกิจโลก หรือ World Economic Forum (WEF) 2017 ณ กรุงดาวอสอย่างใกล้ชิด ซึ่งในปีนี้ทาง WEF ได้จัดวงเสวนาในหัวข้อที่สามารถกระทบความเป็นไปของเศรษฐกิจโลกไว้มากกว่าถึง 400 วงด้วยกัน ตั้งแต่เรื่องความเหลื่อมล้ำไปจนถึงชะตากรรมของโลกาภิวัฒน์ สำหรับท่านผู้อ่านที่ไม่มีเวลาดื่มด่ำกับการดวลพลังสมองของเหล่าผู้นำการเมือง นักธุรกิจ และนักคิดผู้ทรงอิทธิพลที่มาร่วมการประชุมครั้งนี้ ผมคัด 3 เรื่องที่น่าสนใจที่สุดมาเสนอให้อ่านกันในบทความนี้ครับ
จังหวะใหม่ของจีนกับการปรับหางเสือเศรษฐกิจ
ตั้งแต่วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เมื่อปี 2008 เป็นต้นมา เราได้เห็นการ “ปรับหางเสือ” ของเศรษฐกิจจีนจากการพึ่งพาการลงทุนและการส่งออกไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจแบบเสริมสร้างความสมดุลย์ (rebalancing) เพื่อเสถียรภาพและคุณภาพของการขยายตัวในระยะยาว ในสายตานักลงทุนทั่วโลกมันคือการชะลอตัวลงของฟันเฟืองชิ้นโตที่เคยขับเคลื่อนกลไกเศรษฐกิจโลกมาโดยตลอด แต่ในสายตาของผู้นำจีน เขามองว่าแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจแบบเดิม แม้จะนำมาซึ่งการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วระดับปาฏิหาริย์ยาวถึง 3 ทศวรรษ ได้เข้าสู่จุดอิ่มตัวและสร้างปัญหาเชิงโครงสร้างซึ่งเป็นเสี้ยนหนามในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้ยั่งยืน ในการปรับหางเสือครั้งนี้ จีนจึงตั้งใจที่จะปั้นโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ที่จะมีการพึ่งพาการผลิตเพื่อบริโภคภายใน พัฒนาภาคบริการ และยกระดับผลิตภาพของแรงงานและเงินทุนในหลากเซ็กเตอร์ให้มากขึ้น บทความนี้จะขอสรุปอย่างสั้นๆ ว่า 1) ทำไมความสำเร็จของการปรับหางเสือของจีนจะมีความสำคัญมากขึ้น และ 2) จีนปรับหางเสือไปถึงไหนแล้ว ไฟสปอร์ตไลท์กำลังจะกลับมาที่จีน ผู้เขียนคิดว่าหลังจากที่ฝุ่นจากเหตุการณ์ Brexit และการเลือกตั้งสหรัฐฯ สงบลง ความคาดหวังในความสำเร็จ ทิศทาง และความราบรื่นของการปรับหางเสือของจีนจะมีมากขึ้น ด้วยเหตุผลต่อไปนี้ ประการแรก สหรัฐฯ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ได้ส่งสัญญานอันไม่เป็นมิตรต่อจีนออกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ตอนหาเสียงแล้ว การขึ้นภาษีนำเข้าและนโยบายกีดกันทางการค้าในรูปแบบอื่นๆ ต่อจีน จะเป็นการสร้างอุปสรรคอย่างไม่จำเป็นให้กับเศรษฐกิจจีนที่กำลังชะลอตัวลงในขณะที่จีนปรับหางเสือ ซึ่งถึงแม้จีนเองจะสามารถโต้กลับได้ด้วยการโยกย้ายการบริโภคสินค้าบางชนิดจากสหรัฐฯ ได้ เช่น เครื่องบินหรือถั่วเหลือง จีนเองก็ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ที่ everybody loses แบบนี้เช่นกัน ประการที่สอง การแสดงทีท่าของสหรัฐฯ ว่าจะไม่ทำตัวเป็นตัวตั้งตัวตีเพื่อส่งเสริมความแน่นแฟ้นทางเศรษฐกิจแบบ multilateral บนเวทีโลกเท่าในอดีตอีกต่อไป […]
โลกของเราย่างเข้าสู่ปีใหม่มาได้ไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ก็เกิดอะไรขึ้นมากมายที่ทำให้เวทีเศรษฐกิจโลกสั่นคลอนไปด้วยความกลัวและความกังวล ในอาทิตย์ที่ผ่านมานี้หุ้นในประเทศจีนร่วงลง 11.6 เปอร์เซ็นต์ และมีการใช้ระบบ circuit breaker ปิดตลาดกระทันหันเมื่อวันพฤหัสบดีหลังจากเปิดมาได้ไม่เกิน 15 นาที เพื่อไม่ให้หุ้นร่วงลงไปกว่านั้น ภาวะแบบนี้ก็ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก ภายในอาทิตย์เดียวคนที่ร่ำรวยที่สุด 400 คนของโลกเสียไปราว 194 พันล้านดอลลาร์จากตลาดการเงินที่ผันผวน นอกจากทั้งหมดนี้ยังมีการที่จอร์จ โซรอส กูรูนักลงทุนข้ามชาติที่เคยให้บทเรียนอันเจ็บปวดกับประเทศไทยมาแล้ว ออกมาตอกย้ำความกังวลนี้อีกว่าเขาคิดว่าวิกฤติครั้งหน้าอยู่ไม่ไกลแล้วและมองด้วยว่าปัญหาในการปรับหางเสือของเศรษฐกิจจีนสามารถปะทุขึ้นมาเป็นวิกฤติแบบครั้งเมื่อแปดปีที่แล้วได้ นี่คือแค่อาทิตย์แรกของปีนี้…ยังเหลืออีกตั้ง 300 กว่าวัน ในบทความนี้ผู้เขียนรวบรวมข้อมูลและสรุปประเด็นสำคัญสั้นๆ 5 ประเด็นที่จะมามีบทบาทอย่างมากต่อความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ ผู้เขียนหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านในปีนี้ครับ
[หนังสือ] มองอย่างเซียนสไตล์ ลี กวนยู
ลี กวนยู ไม่เคยพูดผิด – Margaret Thatcher
QE กับการวัดปริมาณเงินร้อนในเศรษฐกิจจีน
step 1: วัดเงินร้อนให้ถูก
QE คืออะไร? มีผลกระทบต่อจีนอย่างไร ? (ภาค 1)
QE กระทบจีนอย่างไรบ้าง ?
ใกล้ชิดกับ Jack Lew : ขุนคลังคนใหม่ของสหรัฐฯ
แขวะจีนแล้วยิ้มคือหน้าที่
Previous page Next page
Recent Comments